วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

ไปดูหนัง แล้วมาบ่น TopGun

โปสเตอร์หนัง


29 เมษายน 2555 03:30
วันสองวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายกับผม ทั้งเครียดทั้งเสียใจ ไม่รู้ทำไงกินเบียร์ดีกว่า 5555 (เด็กดีไม่ควรทำตาม) แต่ก็ทำให้ผมได้นั่งดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่ร้านที่ผมไปนั่งกินเบียร์ ถ้าวันเสาร์มีใครเห็นไอ้บ้าคนหนึ่งนั่งกินเบียร์ดูหนังคนเดียว ไอ้นั่นแหละผมล่ะ หุๆ เป็นหนังที่ไม่ได้ดูน้านนานมากแล้ว นั่นก็คือเรื่อง TopGun นั่นเอง

ไม่ได้เป็นหนังแผ่นหนังในเคเบิ้ลอะไรหรอก แต่ TPBS เอามาฉายตอนสี่ทุ่ม เพิ่งทราบเหมือนกันว่าช่องนี้มีหนังมาฉายด้วย แหล่มจริงๆ

บ่นเรื่องส่วนตัวมามากแล้ว มาเข้าสู่ตัวหนังสักทีดีกว่า และอย่างเคยครับ มีการเปิดเผยเนื้อหาแบบไม่มียั้ง (หรือที่เขาเรียกว่าสปอยสุดๆ) ถ้ากลัวว่าได้ดูหนังแล้วจะเสียอรรถรส ให้ปิดได้เลยครับ แต่ผมว่าแทบทุกคนคงได้ดูมาแล้วแหละ หุๆๆๆ

Top Gun เป็นหนังเกี่ยวกับเครื่องบินรบ ไม่เชื่อดูจากโปสเตอร์สิ ออกฉายเมื่อปี 2529 นานมาแล้วใช่ไหมล่ะ พระเอกทอม ครุยส์ยังเอาะๆอยู่เลย นางเอกของเีรื่องคือ เคลลี่ แมคกินลิส (ได้ข่าวว่าชีเป็นพวกเล่นดนตรีไทยด้วยง่า) หนังเรื่องนี้สร้างปรากฎการณ์หลายอย่าง เพราะในหนังมัน "เท่ห์มาก" คงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครที่ได้ชมอยากเป็นนักบินรบกันเป็นแถบๆ ไม่เชื่อลองดูรูปพระเอกเราสิ

มาเวอริค พระเอกของเรื่อง เท่ห์ใช่ไหมล่ะ
เริ่มเรื่องที่เรือบรรทุกเครื่องบิน(ในดวงใจของผม) USS Enterprise ที่ลอยตุ๊บป่องอยู่มหาสมุทรอินเดีย (แถวไหนไม่รู้) เปิดตัวมาก็เท่ห์นำไว้ก่อนเลย เป็นภาพแสดงให้เห็นถึงปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็คล้ายๆกับในหนังสารคดีช่อง Discovery แหละครับ ความรู้สึกส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้เน้นความเท่ห์แทบตลอดเรื่อง จริงๆนะ ใครที่ได้ดูแล้วแล้วไม่เห็นว่ามันเท่ห์ตรงไหน ผมให้เตะ........กำแพงข้างบ้านเลย 55555

แล้วเรดาห์ของหอบังคับการก็จับเครื่องบินไม่ปรากฎสัญชาติได้จึงได้สั่งการให้เครื่องบิน 2 ลำที่ออกลาดตระเวนอยู่ตอนนั้นไปดูหน่อยสิ แน่นอนหนึ่งในนั้นต้องเป็นพระเอกของเรานั่นเอง ใจจริงแล้วอยากเก็บไปอธิบายตอนท้าย แต่เพื่อให้เข้าใจในลักษณะของเครื่องบินรบในเรื่อง จึงยกมาเล่าให้ฟังนิดหน่อยตอนนี้ก่อน

F-14 Tomcat ตัวเอกของเรา
 โดยส่วนตัวแล้วเป็นเครื่องรุ่นหนึ่งที่ผมชอบมาก
เครื่องบินตัวเอกในเรื่องคือเครื่องบินขับไล่รุ่น F-14 Tomcat เป็นเครื่องบินที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้บนเรือบรรทุกเครื่องบิน เจ้าเครื่องF-14 นี่จะใช้นักบินสองคน จริงๆแล้วคนขับจะมีคนเดียว (ก็คือคนนั่งหน้า) ส่วนคนนั่งหลังเรียกว่า Radar Interceptor Officer คล้ายกับเป็นคู่หูคอยช่วยเหลือนักบิน คือสมัยก่อนเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ยังไม่ล้ำเหมือนตอนนี้ เครื่องบินหลังๆจึงใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือนักบินแทนคน เครื่องบินรุ่นใหม่ๆจึงใช้นักบินคนเดียว (เครื่องบินรบนะ เครื่องพาณิชย์ จาก 3 คน เหลือ 2 คน ตัด Flight Engineer ออกไปใช้คอมแทน) 


กลับเข้ามาสู่หนังของเราสักทีออกทะเลไปนิดหน่อยแล้ว พระเอกของเรา "มาเวอริค" มีคู่หูคือ "กูส" (ทั้งสองชื่อไม่ใช่ชื่อจริงของเขานะ เป็น Call Sign ประมาณว่ารหัสเรียกนั่นแหละ) ส่วนอีกลำหนึ่งมี "คูการ์" (ไม่ใช่ลูกอมนะ) กับคู่หูคนหนึ่ง (ผมจำชื่อไม่ได้จริงๆ) เมื่อทั้งสองลำไปถึงที่หมายก็พบกับ "มิค-28" อันเป็นเครื่องลำเก่งของทางโซเวียตคู่ปรับอเมริกานั่นเอง และเครื่องมิค-28 ก็มาสองลำเช่นกัน ทางฝ่ายพระเอกเราก็ได้รับคำสั่งให้ไล่เครื่องมิคออกไปซะ และแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น แต่การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ค่อยเหมือนการต่อสู้สักเท่าไร ทำไมเหรอ เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน หุๆๆๆๆ

เครื่องมิคลำหนึ่งล็อคเป้าเครื่องของคูการ์ได้ คือเหมือนกับจะยิงมิสไซด์ใส่ได้ แต่เครื่องมิคก็ไม่ยิง ทีนี้คูการ์ก็รู้ตัวเองว่าถ้าเครื่องมิคเอาจริงล่ะก็เดี้ยงไปแล้ว ส่วนพระเอกของเราก็ไล่เครื่องมิคไปด้วยด้วยการบินกลับหัว?? แบบคานูปี้แนบคานูปี้ (คานูปี้ก็คือไอ้ครอบแก้วที่ครอบนักบินนั่นแหละ) แล้วดันยกกล้องไปถ่ายนักบินเครื่องมิึคเสียอีก คราวนี้เครื่องมิคก็เลยยอมแพ้บินกลับไป เครื่อง F-14 ทั้งสองลำน้ำมันก็ใกล้หมดแล้วจึงได้รับคำสั่งให้บินกลับเรือ ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเครื่องของมาเวอริคก็กำลังจะบินถึงเรือแล้ว แต่อีตาคูการ์กลับสติแตก ผมคิดว่าคือเหมือนตัวเองกลัวสุดขีดเพราะเฉียดตายเลยสติแตก พอคูการ์สติแตกแล้วก็บังคับเครื่องไม่ไหว ได้แต่มองรูปลูกเมีย (เกี่ยวไรไหมเนี่ย จริงๆกลัวตายกลัวไม่ได้เห็นหน้าลูกเมียก็ต้องรีบกลับเรือสิเนอะ) 

สัญญลักษณ์ของ TOPGUN Program
มาเวอริคก็เลยฝ่าฝืนคำสั่งให้ลงจอดกลับไปช่วย?? โดยการไปเตือนสติคูการ์และบินนำกลับมายังเรือสำเร็จ แต่ก็ต้องโดน ผบ.เรียกไปด่าเพราะฝ่าฝืนคำสั่ง ถึงอย่างไรก็ตาม ผบ.ก็เลือกให้ทั้งมาเวอริคและกูสเข้าร่วมการฝึกที่ Miramar เรียกว่า TOPGUN นั่นเอง (ยอมรับช่วงนี้สับสน หรือตอนดูเริ่มเมาเบียร์แล้วหว่า) โดยจริงๆแล้ว ผบ.จะส่งคูการ์ไปแต่คูการ์แต๋วแตกขอถอนตัวไปแล้ว โดยคนที่จะไปฝึกที่ TOPGUN ได้นั้นต้องเป็นนักบินที่สุดยอด เพื่อไปฝึกให้สุดยอดยิ่งกว่า โดยครูฝึกที่สุดยอดที่สุด 5555 ในหนังเขาว่าไว้อย่างนั้นจริงๆ โดยผบ.ไม่ค่อยอยากส่งทั้งคู่ไปเพราะไปก่อนเรื่องมากมาย มาเวอริคโดนปลดออกจากผู้ฝูงสามหน (โดยผบ.คนนี้แหละ สองหน อีกหนเหมือนจะเป็นเรื่องสาวๆ หุๆๆ) สรุปพี่มาของเรานี่เป็นแว้นเครื่องF นั่นเอง 55555

พอเริ่มต้นชั้นเรียนทุกคนก็ได้รับการแนะนำให้รู้จัก Viper ที่เป็นผอ.ในการฝึก เรียกง่ายๆว่าครูใหญ่นั่นแหละ โดยลุง Viper นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบินที่เก่งที่สุดในปฐพีอะไรเทือกนี้ (สุดยอดไหม) โดยลุงไวเปอร์ได้บอกว่าใครที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งจะได้รับการจารึกชื่อไว้ในชั้น TOPGUN แล้วก็ยังได้กลับมาเป็นครูฝึกได้อีกด้วย พี่นักบินแว้นของเราก็ได้พบกัน ICEMAN ที่เป็นคู่แข่งในชั้นเรียน โดยที่พี่ไอซ์ของเรานี่ก็ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในชั้นเหมือนกัน คราวนี้เสือสองตัวอยู่ในถ้าเดียวกันเสียแล้วล่ะพี่น้อง

ชาร์ลี นางเอกของเรื่อง (หาภาพยากกว่าพี่ทอมแยะ)
ตัดฉับมาที่บาร์ คราวนี้คู่พระนางได้เจอกันเสียที โดยพี่มากับพี่กูสไปกินเบียร์กันแล้วมีการปะทะคารมเล็กน้อยกับพี่ไอซ์ หลังจากแยกย้ายกันไป (ตอนแรกนึกว่าจะมีต่อยกันเสียอีก) พี่มาเราก็ไปปิ๊งกับนางเอกของเรื่อง น้องนางชื่อ "ชาร์ลี" (ชื่อเหมือนผู้ชายเนอะ) หลังจากร้องเพลงจีบสาวเรียบร้อยแล้วปรากฎว่าชีมากับหนุ่ม (ที่ในเรื่องแก่) อีกคน พระเอกแว้นของเราก็ยังตามไปสีต่อในห้องน้ำหญิง แต่ก็คงสร้างความประทับใจในความห่ามได้พอสมควร หุๆๆ

พอเริ่มชั้นเรียนปรากฎว่าน้องชาร์ลีของเรากลับกลายมาเป็นหนึ่งในครูฝึกที่เป็นพลเรือนเสียด้วย พี่มาเราเลยงานเข้าเล็กน้อยพอเป็นพิธีแค่นั้นแหละ

การฝึกก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆมาเรียงๆ ได้ดูพี่มาขับเครื่องบินบินไปมาอย่างเท่ห์ แต่ก็ยังแว้นเครื่องF จนสร้างเรื่องจนได้ คือไปแหกกฎห้ามบินต่ำกว่า 10,000 ฟิตคือพี่แกต้องบินฝึกสู้รบโดยไล่ตามครูฝึกคนหนึ่ง เลาๆว่าชื่อเจสเตอร์ ไล่ตามกันเพลินไปหน่อยเลยแหกกฎ แต่พี่มาของเราก็ตามไปยิงโดยการ "ล็อคเป้า" ซึ่งก็เหมือนตอนต้นเรื่องแหละครับ ใครโดนล็อคเป้าถือว่าแพ้อะไรทำนองนี้ แล้วยังไม่พอไปแว้นใส่หอบังคับการบินอีก โดยหอบอกว่าลงไม่ได้ที่จอดหรือรันเวย์เต็มอะไรสักอย่าง พี่มาแกเลยแกล้งบินผ่านหอ ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเด็กแว้นบิดให้เสียงดังๆเวลาวิ่งผ่านหน้าร้านขายของชำประมาณนั้น ลุงไวเปอร์เราก็เลยต้องเรียกพี่มาเข้าห้องเย็นอบรมสักหน่อย แล้วก็เปิดเผยเรื่องพ่อของพี่มาเล็กน้อย คือพ่อของพี่มาก็เป็นนักบินรบสมัียสงครามเวียดนาม แล้วแกขับ F4 ออกไปแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย นี่ก็เลยกลายเป็นปมของพี่มาส่วนหนึ่งที่ทำอะไรต้องห่ามๆแว้นๆ (ยอมรับเลยว่าดูจบแล้วก็ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงความแว้นกับเรื่องพ่อของพี่มาเลย จริงๆ)

แล้วพระเอกกับนางเอกก็สานสัมพันธ์รักกันไปเรื่อยๆ โดยการให้พี่มามาหาชาร์ลีที่บ้านบ้าง ให้หักหน้ากันในชั้นเรียนบ้างจนพี่มาของเราโมโหแว้นรถเครื่อง (อย่างเท่ห์บอกแล้วเรื่องนี้เน้นความเท่เก๋ไก๋ชไนเดอร์) ออกไป แต่เจ้ชาร์ลีก็ไม่น้อยหน้าซิ่งรถเปิดประทุนตามไป จนได้ปรับความเข้่าใจแล้วก็ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข เอ้ยไม่ใช่ นี่ไม่ใช่นิทานก่อนนอนคุณหนูนะ หุๆๆ แล้วก็มีการเปิดตัวครอบครัวสุขสันต์ของพี่กูส เนื้อเรื่องช่วงนี้เหมือนปูบรรยากาศอันสงบสุข ความรักความผูกพัีนของคนสองคนที่ต้องร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในเวลาขึ้นบินด้วยกัน เพราะพี่มาเคยบอกกับพี่กูสว่า นายเป็นครอบครัวของฉันที่เหลือเพียงคนเดียว (ทำให้รู้ว่าพี่มาเราอยู่คนเดียว)

พี่กูสกับพี่มา สองคู่หูขาแว้นเครื่องF ตอนตั้งใจเรียน
จุดหักเหของเรื่องก็มาจากการฝึกวันหนึ่ง พี่มากับพี่กูสคู่หูก็ออกฝึกตามปกติร่วมกับตาไอซ์แมน 
มันก็ไม่มีอะไรหรอกในตอนแรก ก็เหมือนทุกครั้งที่จะต้องทำอะไรห่ามๆ แต่งวดนี้เกิดปัญหาขึ้นกับเครื่องของพี่มาและพี่กูส คือเครื่องยนต์หมายเลขหนึ่งเกิดมีปัญหาหมดไฟดับไปดื้อๆ (นี่ฮาเล็กน้อยตรงที่ในหนังบอกเครื่องยนต์หนึ่ง แต่ภาพกลับเป็นเครื่องยนต์สอง เครื่องยนต์หนึ่งอยู่ซ้ายนะจ๊ะ ผู้กินกับ) แล้วเครื่องยนต์อีกเครื่องก็ดับตามมา ทำให้เครื่อง F14 ของทั้งคู่หมุนติ้วเป็นลูกข่างร่วงมาจากฟ้าสุราลัยมุ่งตรงไปสู่นทีเบื้องล่าง พี่มาไม่สามารถบังคับเครื่องได้จึงบอกให้พี่กูสทำการดีดตัวออกจากเครื่องบิน แต่เมื่อเกิดการดีดตัวจริงๆแล้ว พี่กูสก็ดันไปกระแทกกับคานูปี้ คอหักเลย (นี่เป็นเรื่องที่เกิดได้จริงๆ มีนักบินหลายคนเสียชีวิตเพราะคอหักเนื่องจากไปกระแทกกับคานูปี้ หลังๆจึงออกแบบเก้าอี้นักบินให้ใหญ่เลยหัวนักบินแล้วมีส่วนที่เป็นโลหะ เอาไว้กระทุ้งคานูปี้ให้แตกเพื่อนักบินจะได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น) 

พอคู่หูตายในขณะปฏิบัตหน้าที่พี่มาเราก็เริ่มเว่อเว้อเลย ถึงการสอบสวนจะออกมาว่าไม่ใช่ความผิดของพี่มาในอุบัติเหตุครั้งนั้น (เท่าที่ค้นๆดู เครื่องยนต์ของ F14 ก็มีปัญหาจริงๆ) แต่ก็ทำให้ความแว้นความห่ามของพระเอกหดหายไป โดยพระเอกไม่กล้าที่จะล็อคเป้าอันเป็นกิจกรรมโปรด รวมไปถึงยังฟาดหางใส่น้องชาร์ลี จนเธอโกรธหนีหายไป (จริงๆแล้วเธอทำเรื่องย้ายตัวเองก่อนหน้านี้แล้วมั้ง) แล้วยังไปพูดกับนางเอกชาร์ลีว่ายินดีที่ได้รู้จักอีกด้วย มันเหมือนกับไม่ใส่ใจในความสัมพันธ์ ความรัก ฯลฯ ของอีกฝ่ายเลย(ช่วงนี้อินมากซัดเบียร์เป็นปลากินน้ำเลยมันเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของคนเขียนง่า กระซิกๆ) 

และในที่สุดก็เหมือนพระเอกจะตัดสินใจลาออก แต่คุณครูใหญ่ไวเปอร์ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยปลอบใจ แล้วเล่าเรื่องวีรกรรมของพ่อพี่มาให้ฟัง โดยพ่อพี่มาสละชีวิตเพื่อช่วยเพื่อนอีกสามลำเอาไว้ในสงคราม และลุงไวเปอร์ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ทำให้พี่มาของเราเริ่มคิดได้

จนในที่สุดพี่มาเราก็เรียนจนจบหลักสูตรจนได้ แต่ตาไอซ์แมนได้เป็นที่หนึ่งของชั้นไ้ด้โล่ TOPGUN มาครอบครองสมใจนึกบางลำพู วันจบหลักสูตรก็มีคำสั่งด่วนให้เข้าร่วมปฏิบัติการลับ (หรือด่วนอะไรนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว แอลกอฮอล์ขึ้นตา หุๆๆ) ได้แก่ ตาไอซ์นักเรียนอันดับหนึ่ง, ฮอลลีวู้ด (ใครอ่ะเหรอ เป็นนักบินร่วมชั้นอีกคนไง มีบทนิดหน่อย แต่ขี้เกียจพูดถึง) และแน่นอน พี่มาของเรานั่นเอง
รูปเท่ๆของ F14 อีกสักรูป หารูปในเรื่องไม่ค่อยเจอเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นแต่รูปพี่ทอม  ครูซง่ะ

โดยผบ. (คนเดิมตอนต้นเรื่องนั่นแหละ) มอบหมายให้ตาไอซ์ กับฮอลลีวู้ดไปคุ้มกันทีมช่วยเหลือเรือของกองทัพเรือลำหนึ่ง และให้พี่มากับคนอื่นคอยสนับสนุน แต่ให้ตายเหอะ ไม่เห็นมีอะไรใหุ้คุ้มกันเลย ทั้งเรื่องผมเห็น USS Enterprise อยู่ลำเดียวจริงๆ 5555 

ขณะที่บินๆอยู่ ตาไอซ์กับฮอลลีวู้ดก็ปะเข้ากับมิค28 ฝูงใหญ่ (หลายลำมากมาย ผมจำไม่ได้แล้วว่ากี่ลำ เลาๆว่า 6 ลำ) แล้วฮอลลีวู้ดก็โดนสอยตกไป แต่ก็ยังดีดตัวหนีออกมาทันท่วงที พี่มาของเราเลยต้องออกโรง ช่วงนี้ไม่รู้บรรยายไง ก็เป็นฉาก Dogfight ภาษานักบินเขาเวลาเครื่องบินรบสู้กันพันตูบนฟ้าเขาเรียกกันแบบนี้ 

สุดท้ายก็อย่างที่เดากันได้ง่ายๆ พระเอกของเราก็ขี่ม้าขาว เอ้ย F14 ช่วยเหลือตาไอซ์แมนได้ สอยเครื่องมิคไปหลายลำ แล้วก็กลับเรืออย่างปลอดภัยท่ามกลางความยินดีปรีดาของบรรดาพลพรรค (อ้าว เฮ้ ไหนบอกว่าจะไปกู้เรือไง ลืมกันหมดซะงั้น 55555 ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้ว) และพี่มาก็ได้รับคำชมเชยตบด้วยโบนัสพิเศษให้เลือกได้ว่าจะไปปฏิบัติงานที่ไหน พี่แกเลือกเป็นครูฝึกที่ TOPGUN ครับ ผมล่ะงงเลยคือพี่มาแกยังหนุ่มยังแน่น น่าจะออกไปบินรบก่อน อายุมากเข้าค่อยกลับมาเป็นครูฝึก แต่ก็มีฉากหนึ่งที่พี่มาแกเอาป้ายชื่อ (ที่ทหารทุกคนสลักชื่อตัวเองแล้วห้อยคออ่ะครับ) ของพี่กูสขว้างลงทะเลไป คงจะสื่อถึงตัดใจได้แล้วประมาณนี้ แต่ผมว่ามันก็ไม่ค่อยอ่ะ มันงงๆ

ฉากจบก็พี่มาที่บาร์แห่งหนึ่ง หยอดตู้เพลงแล้วชาร์ลีก็โผล่กลับมา โอ้ววว อยากให้ชีวิตผมง่ายเหมือนอย่างงี้บ้าง เอาตังค์ไปหยอดตู้เพลงแล้วได้คนรักกลับคืนมา จะแลกแบงค์พันไปหยอดให้หมดเลยเศร้า

ช่วงบ่นไปเรื่อย

เรื่องนี้ถ้าใครพอมีความรู้เรื่องเครื่องบินจะจับผิดได้แยะมาก เริ่มเรื่องมาก็ฮาแล้ว คือเครื่องมิค28 เนี่ย เขาใช้ F5 มาติ๊ต่างถ่ายทำแทน (เท่าที่ทราบ มิค28 ไม่มีนะ เพราะเครื่องมิคเขาลงด้วยเลขคี่ 555) แต่ก็เข้าใจนะ เพราะจะไปหาเครื่องมิคจากไหนมา เพราะช่วงนั้นน่าจะอยู่ในยุคสงครามเย็นอยู่

การดำเนินเรื่องก็ไปเรื่อยๆ ตัดสลับกับความโชว์เท่ของเครื่องบินและพระเอก เนื้อหาก็พอเดาได้อยู่ นี่น่านับถือคือเรื่องนี้ CG น้อยมากหรือไม่มีเลย ใช้ความเท่จากของจริงล้วนๆ ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากจากภาพยนต์ฮอลลีวู้ดสมัยนี้ ต้องจัด CG หนักๆไว้ก่อน

เพลงประกอบเพราะมาก ยิ่งได้ฟังตอนเครื่องออกบินแล้วมันเข้ากันจริงๆ โดยเฉพาะเพลง Take My Breath Away ได้ใจสุดๆ

ภรรยาของกูสในเรื่องนี้คือ เมค ไรอัน อ่ะมองแวบๆยังสงสัยว่าใช่หรือเปล่า พอเห็นจะๆโอ้ว ป้าเมคของเราเล่นเรื่องนี้ด้วยง่ะ เหมือนกันตาไอซ์แมน แสดงโดย วาลคิมเมอร์ หุๆๆๆ 

สุดท้่าย เราลองมาชมภาพปัจจุบันของ เคลลี่ หรือเจ้ชาร์ลีเราดีกว่า โอ้ววว อนิจจัง วัฒสังขาร จริงๆ
อนิจัง วัฒสังขารา 55555
เพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่ออรรถรสในการชม

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบิน และเครื่องบินรบ ถ้าจะดูแค่เอามันส์เอาเท่ก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าอยากรู้เรื่องผมก็พอมีความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับภาพยนต์เรื่องนี้มานำเสนอ แต่คงไม่ละเอียดยิบ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ผมแนะนำวิกิพีเดียเลยครับ ละเอียดยิบจนเลือดซิบเลย หุๆๆๆ

เครื่องบินรบหลักในเรื่องก็คือ F-14 Tomcat ไอ้ชื่อ Tomcat เป็นชื่อรุ่นเหมือน F-18 Hornet, F-22 Raptor อะไรกำเทือกนี้ F-14 นี่ออกแบบเื่พื่อเป็นเครื่องบินขับไล่ (ก็คือเครื่องบินรบที่ใช้ฟัดกับเครื่องบินรบด้วยกันนั่นแหละครับ) ความพิเศษของเครื่องรุ่นนี้คือใช้ระยะทางในการเทคออฟสั้น เพื่อให้บินขึ้นลงได้จากเรือบรรทุกเครื่องบิน

เครื่อง F-14 นี้สามารถบินได้ด้วยความเร็วเหนือเสียง ที่พิเศษสุดและผมชอบมากๆสำหรับเครื่องบินรุ่นนี้ก็คือปีกที่สามารถกางออก (จากรูปด้านซ้ายจะเห็นว่ากางปีกเหมือนเครื่องบินปกติ) และหุบแนบลำตัวได้ (ดูจากรูปด้านขวา) อ้าว แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ คือแบบกางปีกเนี่ยจะทำให้บินผลาดแผลงได้ง่าย เหมาะสำหรับบินในย่านความเร็วต่ำกว่าเสียง ใช้ตอนฟัด Dogfight กับเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม แปลไทยเป็นไทยง่ายๆว่ากางปีกตอนบินช้า ซัดกับข้าศึก เพราะมันแว้นง่ายนั่นเอง
เปรียบเทียบกัน ระหว่ากางปีก กับ หุบปีก ของ F-14 Tomcat 

ส่วนตอนหุบปีกเพื่อประโยชน์ทางอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) คือเครื่อบินจะรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม (ภาษาทางวิศวกรรมเรียก Delta wing) ซึ่งเหมาะสมในการลดแรงต้าน (Drag) เวลาบินเหนือเสียง รายละเอียดเรื่องนี้มันแยะมากไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับ กำแพงเสียง แรงต้านหลากชนิด มุมปะทะ ฯลฯ มันวิชาการเกินไปคงไม่มีใครอยากรู้ (ขนาดตอนเรียนผมยังมึนเลย และก็เลยเอาความรู้ใส่โอ่งหินฝังดินคืนอาจารย์ไปเรียบโร้ย 555) แปลไทยเป็นไทยง่ายๆ หุบปีกเพื่อเตรียมตัวซิ่งนั่นเอง ส่วนเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์อะไร ไปดูในวิกิจะละเอียดกว่า ผมไม่ขอกล่าวตอนนี้ เพราะเอนทรี่นี้พูดเรื่องหนัง ไม่ได้พูดเรื่องเครื่องบินรบ 555555

เรื่องต่อไปก็คือเครื่องมิค28 ในหนังใช้เครื่อง F5 Phantoms ติ๊งต่างตามที่บอก คราวนี้เครื่องมิค28 เนี่ยมีจริงไหม เท่าที่ทราบ (ถ้าผิดพลาดขออภัย) คือเครื่องบินขับไล่มิคเนี่ยนะครับ จะเป็นเลขคี่ เช่น มิค 19 มิค 21 มิค 29 ผมเดาๆเอาว่าใช้ชื่อมิค 28 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งลิขสิทธิ์แล้วก็การเมือง

เสริมนิดหน่อย เครื่องบินF-14 นี่เป็นต้นแบบในการ์ตูนเรื่องมาครอสด้วยนะเอ้อ ตอนเด็กๆชอบมากที่เครื่องบินแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ด้วย
Macross ที่ว่า ทั้งแบบเป็นหุ่นและแปลงเป็นกึ่งหุ่น แล้วก็เป็นเครื่องบิน
สรุป

เช่นเคยครับ สำหรับผมหนังเรื่องนี้ผมว่า "สนุก" ที่สนุกเพราะเครื่องบินมันเท่ ฉากต่อสู้กลางอากาศถึงไม่สมจริงในแง่ของเครื่องบินและตรรกะบางอย่าง แต่มันก็เป็นหนังอย่าไปคิดมากน่า และเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องคลาสสิคสำหรับหนังเกี่ยวกับเครื่องบินรบเรื่องหนึ่ง ถ้าไปถามใครๆว่าถ้าพูดถึงหนังที่เกี่ยวกับเครื่องบินรบ คุณจะนึกถึงเรื่องไหนผมว่าเกินครึ่งตอบว่า TOPGUN แน่นอน 

แต่ถ้าถามผมว่าดูซ้ำบ่อยๆโอไหม ผมว่าหนังเรื่องนี้ไม่ถึงขนาดนั้น ดูรอบเดียวแล้วอีกนานถึงอยากกลับมาดูอีกครั้งหนึ่ง 

เรื่องนี้ต้องแก้ไขหลายครั้งนิดหน่อย เพราะตอนเขียน โผมมาววว 5555 แต่ต้องรีบเขียนเพราะกลัวลืมเรื่อง แล้วค่อยๆเพิ่มเติมแทรกโน่นนิดนี่หน่อยตามเรื่อง ต้องขออภัยในความเวิ่นเว้อ

Credit
ภาพประกอบจาก internet

en.wikipedia.org/wiki/Grumman_F-14_Tomcat

en.wikipedia.org/wiki/Top_Gun
http://ghostlightning.wordpress.com/2009/05/31/mac2/ สำหรับรูปมาครอสครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ไปดูหนัง แล้วมาบ่น Mr.& Mrs. Incredible ฮ้อ แรง

โปสเตอร์หนัง (ของนอก)


ช่วงค่ำกลางเดือนเมษายน ช่างร้อนตับแลบสมกับเป็นหน้าร้อนแห่งไทยแลนด์แดนสยามจริงๆ ได้มีโอกาสดูหนังเก่าเรื่องหนึ่ง (ตั้งใจว่าจะดูนานแล้ว แต่โอกาสไม่อำนวย) เอาหนังฝรั่งกะหนังไทยเขียนลง Blog แล้ว งวดนี้ขอหยิบหนังจีนมาบ่นบ้าง ได้แก่เรื่อง Mr. and Mrs. Incredible หรือชื่อไทยว่า ฮ้อ แรง???? (ใครตั้งชื่อไทยเนี่ย อยากรู้จักจริงๆ)

ก่อนอื่นต้องออกตัวตามธรรมเนียม ผมไม่ใช่นักวิจารณ์ ไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับการทำภาพยนต์ แสงสีเสียงไม่รู้ รู้แต่ว่าหนังเรื่องนี้"สนุก"หรือ"ไม่สนุก" สำหรับผมเืท่านั้นเอง

เช่นเคยครับ มีการเปิดเผยเนื้อหาแบบเต็มๆ ไม่มียั้ง (หรือเรียกเท่ๆว่าสปอยสุดๆนั่นเอง) ถ้าหากยังไม่ได้ชม ไม่อยากรู้เรื่องราว ขอให้ข้ามไปได้เลย แต่ถ้าอยากรู้อยากเห็น เชิญติดตามต่อได้ ณ.บัดนาว

หนังเรื่องนี้จั่วหัวไว้เลยว่าเป็นแนว Action & Comedy เป็นเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ของจีนสองคน ที่รักกัน แต่งงานกัน โดยมีความหวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบสุข แบบสามัญชนคนเดินดินกินข้าวแกงอะไรประมาณนี้

เรื่องนี้ได้ "พันธมิตร" มาเป็นทีมพากย์เสียงภาษาไทย ซึ่งทีมนี้ฝีไม้่ลายมือเป็นที่ประจักษ์กันดีอยู่แล้ว ในความคิดผมคิดว่าทำให้หนังเรื่องนี้เป็น "Comedy" ได้มากขึ้น (ทั้งๆที่บางทีขำโดยไม่เกี่ยวกับเรื่องเลย)

เฮียฮวน พระเอก แสดงโดย กู่เทียนเล่อ (ดูในไตเติ้ล)
เรื่องเริ่มที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทที่ห่างไกลสุดๆ มีคนส่งหนังสือพิมพ์??? มาที่หมู่บ้าน จริงๆแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้อยู่ในยุคไหน แต่หนังสือพิมพ์ที่ว่าิพิมพ์บนกระดาษม้วนใส่กระบอกอย่างดี แต่ช่างเหอะ ถ้าคิดจะดูหนังประเภทนี้อย่าไปใส่ใจกับรายละเอียดความสมจริงมากนัก จะปวดหัวเสียเปล่าๆ พระเอกของเราชื่อ "เมี่ยง ฮวน" มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเป็น"หัวหน้ายาม"ของหมู่บ้าน ก็หมู่บ้านเล็กๆเงียบๆ จะเอาอะไรนักหนาเนอะ และดูเหมือนว่าเฮียฮวนของเราจะเป็นคนเดียวที่อ่านหนังสือออก?? น่าจะแจกแทปเลตให้จริงๆ 555

ฉากแรกจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังพิเศษของเฮียฮวนของเรา อาทิเช่น ตาปล่อยแสงได้ มีกำลังมหาศาลอะไรกำเืทือกนี้ เขาแสดงพลังโดยที่ลูกน้องและชาวบ้านไม่ทราบเลยว่าลูกพี่ของพวกเขามีพลังวิเศษเป็น Super Hero แต่ในทางตรงกันข้าม ฉากนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเฮียฮวนมีอายุอานามไม่ใช่น้อย โดยสื่อถึงอาการสายตายาว (สิ่งชี้บ่งมาตรฐาน)

เจ๊ฮวนนางเอก แสดงโดย อู๋จินหยู (เพิ่งรู้จักชื่อนะเนี่ย)
แนะนำพระเอกไปแล้ว ต่อไปก็แนะนำเจ๊ฮวนอันเป็นนางเอกของเรื่อง นางเอกในเรื่องผมรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาดีกว่าพระเอกเสียอีก (กู่เทียนเล่อ ก็ดังใช่มะ) เห็นว่าแสดงในหนังตลกมาหลายเรื่อง เจ๊ฮวนมีอาชีพขายซาลาเปาในหมู่บ้าน เริ่มเปิดตัวด้วยการเม้าท์มอยกับบรรดาสมาคมแม่บ้าน(คนอ้วน)เล็กน้อย ฉากนี้ทีมพากย์มีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างอรรถรสในการชม จริงๆนะ ถ้าหนังฝรั่งส่วนมากผมชอบดู Sound Track แต่ถ้าหนังจีนต้องดูพากย์ไทยเท่านั้น เหมือนโรคจิตอ่อนๆเลย

มางวดนี้ก็เป็นการเปิดตัวอิทธิฤทธิ์ของเจ๊ฮวนบ้าง ชีแกเปิดตัวโดยการตบ "ปีเตอร์" กาจั๊วะน้อยด้วยพลังอันมหาศาล ผลลัพท์ กาจั๊วะแบน โดยที่โต๊ะไม่พัง !? ไม่เชื่อดูรูป
พลังฝ่ามือทลายกาจั๊วะ

จากช่วงนี้จะสื่อให้เห็นว่าทั้งสองผัวเมียคู่นี้พยายามที่จะใช้ชีวิตปรกติสามัญชนโดยปกปิดพลังวิเศษของตัวเอง นอกจากนี้แล้วยังสื่อให้เห็นถึงความฝันทั่วๆไปของคนเดินดินในการสร้างครอบครัว อย่างแรกเลยก็คือการซื้อบ้าน Home Sweet Home

จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุค แต่วิถีชีวิตมันกลับกลายเป็นการใช้ชีวิตในสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก ต้องเก็บหอมรอมริบสร้างอนาคตร่วมกันของคนสองคน การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันถึงแม้ออกแนวโชว์พาวอยู่บ้างก็ตาม เมื่อดูถึงตอนนี้ผมก็มีความคิดว่าทำไมจะต้องทำเป็นหนังย้อนยุคด้วยออกแนวพีเรียต ในเมื่อสามารถใช้เรื่องราวในยุคปัจจุบันในการดำเนินเรื่องก็ได้

แต่เท่าที่ดูจนจบก็ทำให้ผมคิดได้ว่าจริงๆแ้ล้วพลอตเรื่องแบบนี้ก็มีคนทำมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนอนิเมชั่น Mr.Incredible หรือแม้แต่ Mr.&Mrs. Smith ถึงเรื่องหลังจะไม่ถึงขั้นเป็น Super Hero แต่ก็เป็นคู่ที่เก่งกาจเหนือใคร ดังนั้นการทำเป็นหนังแนวย้อนยุคโดยมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีน ก็เป็นส่วนช่วยให้เรื่องนี้มีความแตกต่างกับสองเรื่องข้างต้นอยู่พอสมควร (เอ๊ะ บอกว่าไม่ใช่นักวิจารณ์หนังไง)

ตัดมาเป็นการออกซื้อบ้านของทั้งสองคน ก็ยิ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันยิ่งขึ้น อยากได้บ้านริมทะเลสาป ทำเลดี แต่ราคาต้องถูก 55555 แล้วยังมีนายหน้า (หรือพนักงานขายบ้านหว่า) เข้ามาทำหน้าที่อีกด้วย หนังในช่วงประมาณ 15 นาทีแรก จะสะท้อนถึงการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย บ้านๆ และเปิดตัวพลังวิเศษ (บางส่วน ย้ำว่าบางส่วน) ของทั้งสองคน เหมือนกับเป็นการปูเรื่องให้คนดู
บ้านหรูริมทะเลสาป ทำเลดี ในราคาแสนถูกของคู่พระนาง
คราวนี้ก็มีการย้อนอดีตครั้งที่ทั้งสองคนยังโลดแล่นอยู่ในยุทธจักร เฮียฮวนของเราเป็น "จอมยุทธเพลิง" เท่าที่ดูแล้วได้รับอิทธิพลจาก Batman มาพอสมควรเลย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แล้วทั้งวิธีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือของชาวบ้าน โดยการส่งโคมยี่เป็งติดตราสัญญลักษณ์จอมยุทธเพลิง (ไม่ใส่ส่องไฟขึ้นฟ้านะ แต่ผลลัพท์คล้ายๆกันคือเห็นจากบนท้องฟ้า) ฉากเริ่มจากมีแกงค์โจรชื่อแปลกๆว่าแกงค์สี่แมลงเข้าปล้น สมาชิกแกงค์นี้ก็ประกอบด้วย มดร้าย งูพิษ (มันแมลงตรงไหน) แมงป่อง (ตัวนี้ฮามาก ให้เครดิตคนพากย์เต็มๆ) แล้วก็คางคก (นี่อีกตัว เป็นแมลงตรงไหน) แล้วจอมยุทธเพลิงก็จัดการทั้งสี่ตัวได้อย่าสบ้ายสบาย แล้วก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาขอบคุณ ในฉากบอกใบ้เป็นนัยๆว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง หุๆๆๆ

จอมยุทธเพลิง ที่เหมือนอินทรีแดง+แบทแมน
เมื่อเปิดตัวพระเอกในคราบจอมยุทธเพลิงแล้วก็ต้องเปิดตัวนางเอกบ้าง เธอเป็น "จอมยุทธหอม" ชื่อประหลาดเนอะ โดยอาวุธเด่นของเธอนอกจากพละกำลังแล้วยังมีกลิ่นหอมที่ใช้บังคับจิตใจ (ออกแนวหลอนประสาทมากกว่า) ของฝ่ายตรงข้ามได้ โดยเธอเป็นพวกสิทธิสตรี เป็นมูลนิธิปวีณาในสมัยจีนโบราณ 5555 คอยช่วยเหลือบรรดาเมียๆ ผู้หญิงและเด็กที่ถูกข่มเหงรังแก



จอมยุทธหอมคอสตูมสีแสบตา

เมื่อมีพระเอกนางเอกแล้วย่อมต้องมีแฟนคลับ (เหมือนพวก AF กะพวก The Stars เปี๊ยบ) ออกมาโหวต เอ้ย หนุนคนที่ตัวเองชอบ โดยส่วนมากผู้ชายจะหนุนจอมยุทธเพลิง ส่วนผู้หญิงจะหนุนปวีณา เอ้ย จอมยุทธหอม แล้วก็เหมือนปัจจุบันเปี๊ยบเลย คือทั้งสองคนต้องมาประลองชิงความยิ่งใหญ่ในเวทีเดอะสตาร์เพราะแฟนคลับเชียร์ให้ทั้งสองคนมาตีกัน เหมือนดาราในปัจจุบันบางส่วนที่เกาเหลากันเพราะแฟนคลับยุ 55555


แต่รักแท้ย่อมไม่แพ้อุปสรรค เมื่อทั้งสองคนได้เจอหน้ากันแล้วก็ปิ๊งกันขนาดเปิดหน้ากากเปิดเผยโฉมหน้าชื่อแซ่ แล้วก็เริ่มออกเดทกัน อย่างที่บอกในช่วงต้น ไลฟสไตล์เหมือนกับหนุ่มสาวยุคปัจจุบันยังไงอย่างงั้น มีเที่ยวงานวัด !? ดูหนัง(ตะลุงจีน) เรื่อยเปื่อย ในช่วงนี้ผมว่าเขาเขียนบทดีนะที่ให้น้ำหนักถึงความสัมพันธ์ของคนสองคน มันก็ต้องมีอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่เจอหน้ากันปิ๊งกันแล้วตัดฉับไปอยู่ด้วยกันเลย เพราะธีมหนังค่อนข้างลอยมาตั้งแต่ตอนเปิดตัวสองคนในคราบฮีโร่แล้ว คือเขาไม่ได้บอกว่าทั้งสองคนเป็นมาอย่างไรทำไมถึงเก่ง (อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวนาเม็ก ไซย่าอะไรก็ได้)

ซึ่งจริงๆแล้วผมว่ามันไม่จำเป็น ถึงขนาดนั้นที่ต้องพรรณาที่มาที่ไปของทั้งคู่ให้มันยืดเยื้อ ในหนังพยายามจะอธิบายในวิถีชีวิตทั้งก่อนและหลังแต่งงานกันมากกว่า ซึ่งผมว่ามันก็ถูกต้องเป็นมันเป็นเนื้อหาหลักของเรื่องมากกว่าพลังวิเศษที่ถึงจะมีบทบาทแต่ไม่ใช่แก่นหลักของเรื่องนี้ (บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่นักวิจารณ์หน้ัง เอ้ หมอนี่นิ)

เมื่อทั้งสองรักกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่ชีวิตจะต้องเดินต่อไป จุดหักเหก็คือโคมยี่เป็งปะยี่ห้อของทั้งสองคนลอยเต็มเมืองไปหมด ซึ่งตัวเอกของเราก็ชี้ให้เห็นว่าแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระเช่นแมวหาย ก็เรียกใช้บริการ ทำให้ทั้งคู่เกิดความเบื่อหน่าย จึงตัดสินใจแต่งงานกันแล้วถอนตัวออกจากมูลนิธิ เอ้ย ยุทธภพ

แต่งงานกันโดยมีศาลเจ้าเป็นพยาน ช่วงคำนับซึ่งกันและกัน
ขอบอกว่าทั้งเรื่องนี้ ผมชอบฉากแต่งงานนี้ที่สุด คือทั้งสองคนแต่งงานกันแบบจีน แต่ไม่มีแขก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีอะไรเลย มีเพียงศาลเจ้าเล็กๆเป็นพยาน และที่ชอบที่สุดก็คือทั้งคู่คำนับกัน มันเป็นการแต่งงานในฝันที่หลายๆคนคิด (เพลงบางเพลงก็แต่งมาทำนองนี้) คือการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนที่สร้างพันธะสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และที่ชอบที่ทั้งคู่คำนับกันคือมันสื่อถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ในโลกความเป็นจริง เราไม่ได้แต่งานกันแค่สองคน เราแต่งงานกับสองครอบครัว พันธะสัญญาที่เกิดขึ้นจะเป็นระหว่างสองครอบครัวไม่ใช่คนสองคน เฮ้อ โลกแห่งความจริงมันวุ่นวายนัก หุๆๆ บ่นไปเรื่อยเนอะ

แล้วทั้งสองก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป เฮ้ย ไม่ใช่นิยายสำหรับเด็ก นี่หนังผู้ใหญ่ได้เรท 15+ แล้วทั้งสองก็ออกเิดินทางเพื่อไปใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุขที่หมู่บ้านห่างไกลในชนบทต่างหาก

หลัีงจากคำนึงถึงความหลังแล้วก็มาเจอะกับความจริง ก็เหมือนกับคู่สามีภรรยาทั่วไป เมื่อแต่งงาน มีบ้านเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็นึกถึงโซ่ทองคล้องใจ แต่แม้แต่ฮีโร่ก็มีปัญหามีบุตรยากซะงั้น ต้องไปปรึกษาแพทย์เรื่องนกเขาไม่ขัน 55555 ผมถึงบอกไง ว่าบรรยากาศเป็นแบบย้อนยุค แต่วิถีชีวิตมันปัจจุบันชัดๆ (ช่วงนี้สังเกตุว่าเจ๊ฮวนไม่ไปขายซาลาเปาแระ มาเป็นแม่บ้านเต็มเวลา สงสัยว่าเพื่อจะมีบุตร 5555) โดยสรุปก็คือทั้งคู่อยู่ด้วยกันมานาน ใช้ชีวิตราบเรียบเป็นไม้ฝาเฌอร่าไม่มีอะไรตื่นเต้นมันจืดชืดเกินไปเลยต้องหาอะไรตื่นเต้นทำ อุอุ อ๊ะๆ อย่าคิดลึกคือทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันบ้างเลย ก็เลยลองทะเลาะกันเพื่อสร้างรสชาติให้ชีวิต??? พร้อมๆกับโดปยาไปด้วย อะไรมันจะอินเทรนด์ขนาดน้านนนเข้าข่ายยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งหัวปีท้ายปีอะไรประมาณนี้

แล้วเรื่องตื่นเต้นก็เข้ามาจนได้ คือมีขุนนางจากเมืองหลวงมาที่หมู่บ้านบอกว่าจะใ้ช้หมู่บ้านนี้เป็นที่จัดงานประลองยุทธเพือจัดระเบียบวิชายุทธและเฟ้นหาสำนักที่เป็นผู้นำยุทธภพอะไรเทือกนี้ ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับเฮียฮวนของเราเป็นอย่างยิ่ง (ก็เคยเป็นจอมยุทธมาก่อนนิ) ที่สงสัยก็เพราะว่าทำไมต้องมาจัดที่หมู่บ้านห่างไกลในชนบทแบบนี้ แต่ก็เพราะความที่ต้องการหาอะไรตื่นเต้นทำ เลยทำให้มองข้ามไป

น้องนางเสื้อฟ้า
หลังจากนั้นชาวยุทธก็แห่เข้ามาที่หมู่บ้านนี้ หลักๆแล้วเหมือนพวกขบวนการห้าสีเลย แยกง่ายเพราะแต่ละสำนักก็มีสีเสื้อผ้าของตัวเอง คราวนี้งานเข้าเฮียฮวนเราแล้วเพราะเขาไปเจอน้องนางเสื้อฟ้าที่ตอนพระเอกไปเตะตูดสี่แมลงตอนต้นเรื่องแล้วมีเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาหา ที่ผมบอกอ่ะ แต่เวลาผ่านไปน้องนางก็โตเป็นสาว ขาวโบ๊ะเชียว แต่หน้าตาจืดไปนิดนะ 5555 น้องนางเสื้อฟ้านี่จำได้ว่าเฮียฮวนเราเป็นจอมยุทธเพลิงที่เธอเคยหลงไหลได้ปลื้มตอนเด็กๆ และก็มีสายตาชาวบ้านเจ๊อ้วนขาเม้าท์ไปเห็นเฮียฮวนกับน้องนางเสื้อฟ้าเดินคุยกุ๊กกิ๊กกัน ด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ประมาณเหมือนพวกความร้าวฉานคืองานของเราจึงแล่นไปฟ้องเจ๊ฮวน แล้วเฮียฮวนก็เปิดเผยพิรุธอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ฮา ขอบอก

ตัวละครที่มีบทบาทก็เริ่มเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งคุณชายไก่อ่อนที่พยายามเข้ามาหลีน้องเสื้อฟ้ากับคุณชายเจ้าสำนักชุดขาวที่เป็นโปรโมเตอร์งานประลองยุทธครั้งนี้

คุณชายไก่อ่อน และ เจ้าสำนักเสื้อขาว
แล้วงานประลองยุทธก็เริ่มขึ้น ชอบตอนนี้ตรงที่เปิดงานปุ๊บก็ิกินข้าวปั๊บ เจ๊ฮวนก็เข้ามาช่วยเหลือเฮียในเรื่องอาหารการกิน ที่ชอบก็เพราะพอท้องอิ่ม อะไรที่เคยบาดหมางก็มานั่งคุยได้ ถ้าโลกนี้เป็นอย่างนี้จริงก็ดีน่ะสิ 5555 แล้วการที่น้องเสื้อฟ้าเข้ามากระแซะเฮียก็ทำให้เจ๊ปรอทแตกขึ้นมาในบัดดล

รอบแรกของการประลองเป็นเพลงหมัด โดยแชมป์เป็นของพวกเสื้อแดง (ในเรื่องใส่เสื้อแดงจริงๆนะ ไม่ได้อิงการเมือง 555) ที่มากล่าวถึงก็เพราะว่าดูยังไงๆพวกเสื้อแดงก็ใช้มวยไทย จริงๆ  เตะเจาะยางแบบนั้น มวยไทยชัดๆ

และเพราะเฮียฮวนของเราไปอี๋อ๋อกับน้องเสื้อฟ้า เจ๊ฮวนเราเลยแก้แค้นโดยการประชิดเจ้าสำนักชุดขาว หุๆๆ ประมาณเกลือจิ้มเกลือไรงี้ไง ทำให้ทั้งสองนัดตบตี เอ้ยปรับความเข้าใจกันหลังเขาที่ประลองยุทธ แล้วเจ๊ก็แสดงอิทธิฤทธิ์จนเข้าไปป่วนในงานเล็กน้อย พอขำๆ

แล้วก็เป็นหน้าที่สามีที่ดีที่ต้องไปง้อภรรยา แต่เฮียฮวนก็ดันพาเจ้าสำนักทั้งห้าไปกินข้าวที่บ้านแทนที่จะสวีทหวานกันสองคน แล้วยังชวนน้องเสื้อฟ้าไปอีก คราวนี้เจ๊ฮวนก็ระเบิดลงในทันที แต่จริงๆแล้วเป็นแผนการณ์ของเฮียฮวนที่ไหว้วานให้น้องเสื้อฟ้าช่วยทำให้เจ๊เค้าหึงเฮียหน่อย เพราะเลือดจะได้สูบฉีด จะได้ตื่นเต้นทำลูกได้ (จริงอ่ะ) และแล้วในที่สุดทั้งสองคนก็กลับมาคืนดีกันดังเดิม จบ เอ้ยยัง ยังเหลือตัวละครอีกตั้งแยะ จะรีบจบได้ไงเนอะ บอกแล้วว่าเป็น Action Comedy ไม่ใช่ Romantics Comedy สักหน่อย

และในที่สุดความจริงก็ปรากฎ งานประลองยุทธนี้เป็นแผนการร้ายของเจ้าสำนักเสื้อขาวนี่เอง โดยกำหนดวันให้ตรงกับวันที่เกิดสุริยุปราคา และหลอกให้เจ้าสำนักทั้งห้าเข้ามาลานประลองโดยไม่มีเหล่าศิษยานุศิษย์ตามมา เจ้าสำนักชุดขาวนี่จะฝึกมหาเวทย์ดูดดาวที่จะดูดพลังของผู้คนเข้ามาเป็นพลังของตัวเอง

ชุดเต็มยศของสองจอมยุทธ
งานนี้เจ๊ฮวนรู้ระแคะระคายมาจากการที่ไปใกล้ชิดเจ้าสำนักชุดขาวตอนงอนเฮียฮวน ตอนที่เจ๊ฮวนเล่าให้ความรู้สึกเหมือนดูคินดะอิจิ + โคนันเลย 5555 เมื่อเหล่าร้ายปรากฎ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ผดุงความยุติธรรมเข้ามาปราบปราม โดยทั้งเฮียและเจ๊ก็กลับมาใส่ชุดยูนิฟอร์มของจอมยุทธเพลิงและจอมยุทธหอมอีกครั้งเพื่อปราบปรามเหล่าร้าย โว้ววว

ขณะกำลังได้เปรียบอยู่ สองจอมยุทธก็พลาดท่าให้กับเจ้าสำนักเสื้อขาวโดยโดนดูดพลัง มีแอบซึ้งนิดหน่อยตอนที่จอมยุทธเพลิงกำลังเสียท่าโดนดูดพลัง ยังหันไปบอกจอมยุทธหอมให้หนีไป

ช่วงนี้มีคลายปมสำหรับเรื่องราวของเจ้าสำนักเสื้อขาวกับอาจารย์ของเขานิดหน่อย คืออาจารย์บอกว่าสิ่งใดในโลกย่อมต้องสมดุลถ้ามีมากไปมันจะทำลายตัวเอง (ประมาณนี้ จำเป๊ะๆไม่ได้)

จอมยุทธหอมเลยใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ (เจ๊แกเก่งเรื่องนี้แฮะ) โดยในเมื่อเจ้าสำนักเสื้อขาวต้องการดูดพลัง เจ๊แกเลยไปจับต้นไม้ที่บอกว่ามีอายุเป็นพันปีเข้าเพื่อให้เจ้าสำนักเสื้อขาวดูดพลังให้หนำใจ คราวนี้มันมากเกินไปจนเจ้าสำนักเสื้อขาวหายไปกลายเป็นผลึกอันหนึ่ง???? งงล่ะสิ ผมก็งง แต่อย่าคิดมาก เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดมากอย่างที่บอกไว้ตอนต้นเรื่อง

แล้วทุกอย่างก็คืนสู่สภาวะปกติ แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ที่แท้ขุนนางที่มาด้วยร่วมมือกับเจ้าสำนักชุดขาวเพื่อใช้มหาเวทย์ดูดดาวโค่นราชบัลลังค์ และที่เลือกหมู่บ้านห่างไกลก็เพราะปิดปากง่ายโดยปล่อยข่าวว่ามีโรคระบาทชาวบ้านตายหมด แต่ยังมีหักมุมอีกหน่อยตรงที่คุณชายไก่อ่อนที่แท้เป็นฮ่องเต้ปลอมตัวมา (น้ำเน่าเริ่มมาตุๆแล้ว) เข้ามาช่วยไว้ทัน แล้วโชคชะตาของน้องนางเสื้อฟ้าจะเป็นอย่างไร อ่องเต้อุตส่าห์มาหลีน้องเขาไว้ ทั้งหมดทั้งปวงยังเป็นความลับต่อไป เพราะเรื่องไม่กล่าวถึงและน้องนางเสื้อฟ้าหลังจากตอนที่เฮียฮวงไปขอคืนดีกับเจ๊ฮวงแล้วก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลย

และแล้วเรื่องก็มาถึงบทสรุป (สักที) สองสามีภรรยาก็ได้มีลูกสมความปรารถนา และยังคงใช้ชีวิตราบเรียบสงบสุขต่อไป

ชีวิตสงบสุข บทสรุปของจอมยุทธ

ช่วงบ่นไปเรื่อย

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก จะดูเรื่องนี้ให้สนุกไม่ต้องไปคำนึงถึงตรรกศาสตร์อะไรมากมาย หนังดำเนินเรื่องไปเป็นเส้นตรง ไม่ต้องมีเรื่องให้คิดมาก เป็นหนังดูง่ายๆ

ตัวหนังทั้งพลอตเรื่องและตัวละครได้รับอิทธิพลโดยตรงจากหนังแนวฮีโร่เรื่องอื่น แต่สร้างความแตกต่างโดยใช้ธีมเป็นยุคจีนโบราณ

เครดิตส่วนหนึ่งขอยกให้ทีมพากย์พันธมิตร มีส่วนเป็นอย่างมากที่ทำให้การดำเนินเรื่องมีสีสันและตลกมากขึ้น

โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายคล้ายหนังโจว ชิง ฉือ อยู่มากทีเดียว มาเห็นเครดิตช่วงท้่ายว่าผู้กำกับเรื่องนี้ทำงานหลายเรื่องร่วมกับเฮียโจวแล้ว อ้า ความจริงก็ปรากฎและจากการหาข้อมูลเพิ่มเติมเขาบอกว่าเปิดตัววันแรกแรงทีเดียวเชียวนะ

ส่วนใหญ่แล้วผมจะบ่นๆแทรกไปตามท้องเรื่องอยู่แล้ว ช่วงนี้จึงแทบจะเรียกว่าไม่เหลืออะไรให้บ่นแล้ว

เก็บตกจากหนัง

สังเกตุดูว่าในบล็อคของผมนั้นมักจะหาข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนั้นๆ ถ้าไม่ใช่หนังห่วยที่ไร้แก่นสารจริงๆ หนังก็จะแทรกอะไรหลายๆอย่างสะท้อนให้เราอยู่เสมอ นี่เป็นอีกเหตุผลที่ผมชอบนั่งดูหนัง (บางทีก็นอนดูหนัง 5555)

จริงๆแล้วเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการอันแท้จริงของคนเรา ทั้งพระเอกนางเอกได้ก้าวไปจุดสูงสุดของยุทธภพมาช่วงหนึ่ง (สังเกตุจากแฟนคลับ หุๆๆๆ) แล้วทั้งสองคนก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างกลับไปสู่ความเรียบง่าย ใช้ชีวิตปกติ แต่คนก็ยังเป็นคน เมื่อวุ่นวายเกินไปก็ร้องหาความเรียบง่าย เมื่อเรียบง่ายเกินไปก็ร้องหาความวุ่นวาย สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เหมือนผมชอบพูดล้อๆเสมอๆว่า "ความพอดี ไม่มีในโลก" ตราบใดที่เรายังจมอยู่ในวัฎฎะอยู่นั่นเอง โอ้ววววว ธรรมะจริงๆ

และสุดท้ายความสุขของคนเราจริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าครอบครัวที่อบอุ่นนั่นเอง อิจฉาจริงๆ

หลายๆอย่างที่ชอบผมก็ได้แทรกไว้แล้วในเนื้อเรื่อง (อีกแล้ว) เข้าบทสรุปกันเลยดีกว่า

สรุป

หนังเรื่องนี้เป็นหนังดูง่ายๆ สำหรับผม "สนุก" ครับ แต่ถึงขั้นประทับใจจนดูซ้ำได้หลายๆรอบไหม ผมว่าไม่นะ นานๆไปพอลืมๆแล้วกลับมาดูอีกทีก็โอเค แต่ตอนนี้ ดูรอบเดียวก็พอแล้วครับ

เครดิต
ข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก Sanook.com
VCD เืรื่องฮ้อ แรง
หน้าปก VCD







ไปดูมา แล้วมาบ่น Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ


โปสเตอร์หนัง



วันพุธครับ อย่างเคย เป็นวันที่เหมาะที่สุดสำหรับการดูหนังของคนจนๆเช่นผม เพราะว่าตั๋วแค่ 80 บาท 5555 วันนี้แวบไปดูที่ SF Central รามอินทรา ตอนแรกว่าจะดูเรื่อง Wraith of Titan แต่เนื่องจากเมื่อคราวที่แล้วที่ไปดูเรื่อง Battleship ก็เลยต้องค้นหาข้อมูล ปรากฎว่ามีกระแสเรื่อง Home นี้ขึ้นมา เลยกระตุ้นต่อมอยากดู จึงต้องไปโดนซะตามระเบียบ

เช่นเคยครับ มีการเปิดเผยเรื่องราวอย่างเต็มเหนี่ยว เรียกเท่ๆว่าสปอยนั่นเอง ถ้ายังไม่ได้ดูหรือไ่ม่อยากจะรู้เรื่อง ข้ามไปได้เลยครับ

อีกประการ ผมแค่คนดูหนัง ไม่ใช่นักวิจารณ์หนัง เรื่องฉาก มุมกล้อง แสง สี เสียง ผมไม่รู้หรอกครับ บทจะดีจะห่วยก็ไม่สามารถสัมผัสได้ ผมแค่ไปดูมา แล้วก็มาบ่นๆๆ 5555 แล้วบอกได้เพียงว่า "สนุก" หรือ "ไม่สนุก" สำหรับตัวผมเท่านั้น

อันที่จริงดูจากโปสเตอร์ หนังตัวอย่าง (แวบๆ) รวมไปถึงผลงานเก่าๆของผู้กินกับ เอ้ย ผู้กำกับ แวบแรกในสมองคือ หวาย หนังเกย์หัวเกรียนอีกแ้ง้วอ่ะ (เทียบกับรักแห่งสยิว อิอิ)

แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้หลากหลายแง่มุมมาก คือมันมากกว่าที่อิมเมจตอนแรกจริงๆนะ

น้ำท่วมทุ่งแล้ว ก่อนจะออกทะเล เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ

หนังเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอนย่อยๆ

ตอนที่1 สองเกย์หัวเกรียน (ชื่อตอนผมแต่งเองน้า)
คนถือกล้องคือเน แน่นอนว่าคนถือลูกบาสคือบีม
เปิดฉากมาก็เป็นเด็กคนหนึ่งยืนถ่ายรูปคนเดียวดึกๆดื่นๆ เขาชื่อ "เน" ใช้กล้องอย่างหรู หุๆๆ ขนาดผมไม่ใช่คนเล่นกล้องยังรู้สึกได้ถึงความแพง 555 ในเรื่องปูพื้นว่าเขาเรียนจบม.6 แล้ว เพราะว่ามีสาวๆโทรมาตามไปกินเหล้า เอ้ย กินเลี้ยงฉลองเรียนจบ แต่พ่อหนุ่มเนก็ติสแตก ยังอยากถ่ายรูปท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาลต่อไป

คราวนี้เหมือนบรรยากาศเป็นใจ เสียงหมาหอนแบบไทยๆก็ระงมขึ้นมา จริงๆแล้วผมไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าไม่ว่าสมัยไหน หนังไทยหมาต้องหอนเสียงนี้ด้วยอ่ะ ที่เคยได้ยินมาก็ไม่เห็นมันหอนแบบนี้นินา แล้วพ่อหนุ่มอีกคนก็ปรากฎกายขึ้น เขาชื่อ "บีม"
ในเรื่องบอกว่าเนมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ ส่วนบีมเป็นนักบาสของโรงเรียน แล้วก็โรงเรียนในเรื่องก็คือโรงเรียนมงฟอร์ต เชียงใหม่นั่นเองและเรื่องราวทั้งหมดทั้งสามตอนจะเกิดขึ้นที่เชียงใหม่ เนื่องจากบีมเป็นนักบาสโรงเรียน เลยกินอยู่หลับนอนในโรงเรียนนั่นเลย นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้บีมเดินมาเจอเน

ช่วงนี้ผมสับสนนิดหน่อย เพราะไม่เข้าใจว่าสองคนนี้เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ดูๆไปสักพักถึงรู้ว่าไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว อาจจะเคยเห็นหน้าบ้าง เพราะเนเป็นตากล้องของโรงเรียน ส่วนบีมเป็นนักบาส จึงเจอกันบ้าง แต่นี่คงเป็นการได้พูดคุยกันครั้งแรก

เนจะเป็นรุ่นพี่บีม เพราะบีมเรียนอยู่ม.3 แต่ดูเหมือนเจ้าบีมจะปีนเกลียวอยู่มิใช่น้อย หุๆๆ

ภาพเนชัดๆ
เนื้อหาค่อยๆเปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ สรุปย่อๆแล้วกัน เนเป็นพวกไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เหมือนพวกติสแตกโลกส่วนตัวสูง โดยเนให้เหตุผลว่าเขาเข้ากับคนไม่เก่ง หรือจริงๆแล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ความคิดเห็นส่วนตัวเลย ผมว่าเนเป็นพวกเนิร์ดอ่ะ เขามีเหตุผลแปลกๆที่จะอยู่แยกจากคนอื่น มีตอนหนึ่งเขาบอกว่าเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอพวกเพื่อนๆแล้ว ประมาณเรียนจบแล้วแยกย้ายกันไป จึงไม่สร้างความสัมพันธ์ไว้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักเลยที่เขาไม่มีเพื่อน

ถ้าคุณไม่ใส่ใจใคร ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาใส่ใจคุณ

นี่เป็นบทสรุปสำหรับตัวเน โดยผมเอง คมมะ หุๆๆๆ

ภาพบีมชัดๆ
ส่วนบีมดูเหมือนจะเป็นเด็กร่าเริงกว่า จริงๆแล้วก็เหมือนเด็กทั่วๆไป แต่ปมของเขาก็คือเขาต้องย้่ายที่เรียนบ่อย เลยไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทนัก และก็เหมือนจะคล้ายถูกพลักไสออกจากทีมจนเขาต้องย้ายไปเรียนต่อที่ิทิวไผ่งาม (โรงเรียนนี้เป็นมหาอำนาจเรื่องบาสนี่นา ว่าไปแล้วจะว่าถุกผลักไสก็ไม่น่าใช่) โดยมีนักบาสอีกคนที่ชื่อเตอร์ (มันหล่อมาก ได้เล่นหนังต่อแน่ๆ) ที่ได้รับการทาบทามเช่นกัน แต่โค้ชขอให้เตอร์อยู่ต่อ แต่ไม่รั้งบีมไว้ โดยบีมให้เหตุผลว่าเพราะเขาไม่ใช่ลูกหม้อที่เล่นมาตั้งแต่ประถม คือเขามาเข้าโรงเรียนนี้ตอนม.1

ผมนั่งดูอยู่พักนึง ผมว่าสองคนนี่เหมือนอยู่ชั้นเดียวกันซะมากกว่า ทั้งความสูงที่ไล่เลี่ยกัน และการปีนเกลียวของเจ้าบีม เหมือนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องซะอีก แหมรู้นะบางคนเถียงว่าก็ไอ้บีมมันเป็นนักบาสโรงเรียน ตัวมันก็ต้องสูงเด่ะ โอเคครับ แต่ที่เหมือนเพื่อนกันมันเป็นเพราะบทสนทนาถ้าบีมไม่เรียกเนว่าพี่ ผมยังเข้าใจว่ารุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ

เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆโดยเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของทั้งสองคน ก็อย่างที่ผมสรุปไว้นั่นแหละ แต่แล้วจุดหักเหก็ปรากฎกายขึ้น หุๆๆๆ นั่นคือบีมไปเห็นภาพสาวน้อยนางหนึ่ง จำได้เลาๆว่าชื่อ"แพร" (ถ้าผิดก็ขออภัย จำไม่ค่อยได้ ต้องโด๊ปแปะก้วยอีกแย้ว) แปะอยู่ในบอร์ดกิจกรรม บีมบอกเนว่าชอบชีคนนี้ บ๊ะแล้วไอ้หนู เล่นข้ามรุ่นเลย ม.3 จะไปจีบม.6 แถมเป็นม.6 ที่กำลังจะจบเสียด้วย

แต่ถ้าเรื่องมีแค่นั้นมันก็ไม่กิ๊บเก๋เกย์จ๋าสิ บีมขอให้เนช่วยเป็นคิวปิดสื่อรักไปนัดสาวน้อยให้หน่อย ต่อมเกย์เริ่มมากแตกตรงที่เนบอกให้บีมไปคุยกับสาวเจ้าเอง แต่ตัวเองดันเสนอให้บีมมาซ้อมขอสาวไปดูหนังกับตัวเองซะงั้น ตอนแรกก็ขำๆเพราะเอารูปสาวมาแปะหน้าผาก แต่รอบต่อมาบีมบอกเนว่าไม่ต้องเอารูปสาวมาแปะแล้ว

ให้ตายเหอะโรบิ้น ฉากนี้หน้าเนหวานมว้ากกกกก เจ้าบีมเคลิ้มไปเลย ฉากนี้ขอไม่บรรยาย มันกิ๊บเก๋เกย์จ๋ามากเกิน ช่วงนี้สื่อถึงความเกย์จ๋าของบีมเต็มๆ จนผมนึกว่าเจ้าบีมมันค้นพบตัวเองจากความหน้าหวาน
ของเนซะแล้ว หลังจากฉากนี้แล้ว น้องแพรเราตกกระป๋องไปในบัดดล 5555
โปสเตอร์หนังอีกแบบ
แต่เรื่องก็มีพลิกอีกแล้ว หลังจากบีมพยายามถามเนว่ามีแฟนยัง เนบอกว่าแอบชอบใครบางคน เรื่องมาแดงตรงที่เมมโมรี่การ์ดของกล้องเต็ม เนก็เลยโอนไฟล์ลงคอม แล้วใช้บีมทำ ตัวเนเองไปเอาแบตกล้อง คราวนี้เจ้าบีมไปเปิดดูโฟลเดอร์รูปของชมรมบาส ปรากฎว่ามีแต่รูปเตอร์เต็มไปหมด อ้าว!!!!! งานเข้าแล้ว ตกลงที่กิ๊บเก๋เกย์จ๋านี่ผลิกกลายเป็นเนซะงั้น สรุปว่าไงเนี่ย หุๆๆๆ

แล้วทั้งสองก็ถ่ายรูปกันยันเช้า อุอิ (ตอนแรกบีมบอกว่าต้องไปแข่งที่กรุงเทพวันพรุ่งนี้ ไม่หลับไม่นอนแล้วจะแข่งไหวเร้อ แล้วเจ้าเนบอกเพื่อนว่าจะตามไปงานเลี้ยง อยู่กับหนุ่มๆเบี้ยวซะงั้น 5555) จากคราวแรกเหมือนเนจะไม่่ีค่อยสนใจบีมสักเท่าไร ตอนนี้มีแอบถ่ายรูปบีม แล้วก็ขอถ่ายรูปตรงๆซะงั้น

พอเช้าแล้วก็มีคนมาตามบีม คนนั้นคือ เตอร์นั่นเอง วะว้าวววว

และแล้วเนกับบีมก็ต้องแยกจากกัน เพราะบีมจะต้องไปรายงานตัวที่กรุงเทพเลย ไม่ได้กลับมาพร้อมกับทีมเขา เนพยายามขอ Email บีม แต่เจ้าบีมก็ดันโลว์เทค ไม่ค่อยใช้เมลเลยจำไม่ได้

ตอนแยกจากกันมีแม่มาส่งนักกีฬาคนนึง แล้วแม่ลูกก็กอดกัน เจ้าบีมเลยขอเจ้าเนกอด เพราะเนบอกว่าเขามาส่งบีม ว้ากกก ฉากนี้ก็เกย์จ๋ามากกก

ตอนจบแอบโง่นิดนึง เพราะบีมเจอเมลแล้วก็มาเขียนกระจกหลังรถบัส เนมัวแต่หากระดาษปากกา สุดท้ายแล้วก็จดไม่ทัน ทั้งๆที่ตัวเองห้อยกล้องไว้ที่คอแท้ๆ หยิบมาถ่ายรูปก็จบ มานึกได้ตอนรถไปไกลลิบเสียแล้ว ฮ่วย แล้วเรื่องราวของสองหนุ่มก็จบลงตรงนี้

ช่วงบ่น 
อ่านๆดูหลายความเห็นตามเวปบอร์ดออกมาบอกว่ามันมองได้อีกแง่มุมนึงก็คือเป็นมุมมิตรภาพของทั้งสองคน แต่ผมว่ายังไงๆมันก็กิ๊บเก๋เกย์จ๋าอยู่ดี มีเรอะที่คุณอยากกอดเพื่อน(ผู้ชาย) หรือไม่มีฉากจูจุ๊บบรรลือโลกในรักแห่งสยิวเลยยังไม่ฟันธงว่ามันเกย์ อย่าึซึนอย่าโลกสวยเลย สองคนนั้นมันชอบกันชัดๆ หุๆๆ

ในบรรดาสามตอน ผมว่าตอนนี้เบาหวิวที่สุดในแง่ของเนื้อหา เพราะมันไม่มีอะไร มันสื่อถึงความสัมพันธ์ดีๆของคนสองคนที่ต่างที่มา แต่มีจุดลงตัวร่วมกันจุดหนึ่งคือ "ทั้งสองคนไม่มีเพื่อน" ในที่นี้หมายถึงเพื่อนสนิทจริงๆ ในความเห็นส่วนตัวผมว่าถ้าบทเขียนมาให้สื่อถึงมิตรภาพของลูกผู้ชายหนังจะสวยกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องกิ๊บเก๋เกย์จ๋าก็ได้

และในบอร์ด (อีกเช่นเคย) บอกว่ามีสัญลักษณ์ซ่อนอยู่ทั้งรูปบนเสื้อของทั้งคู่ ฯลฯ คือจริงๆแล้วผมไม่รู้หรอกครับ ไม่ได้เจาะเกาะติดขนาดนั้น อย่างที่บอกไม่ใช่นักวิจารณ์หนังหรือนักดูหนัง ก็แค่คนคนหนึ่งที่กำตังค์เข้าไปดูเอาความบันเทิง และเผื่อได้แง่คิดอะไรบางอย่าง ดังนั้นจุดนี้ผมขอข้าม (เพราะไม่รู้ 555)

ตอนที่2 ผนึกความทรงจำของคุณป้า (ชื่อตอนแต่งเองเช่นกัน)
ป้าจัน แสดงโดยคุณเพ็ญพักตร์

ตอนนี้เป็นเรื่องราวของป้าจันที่ยังตัดอาลัยกับสามีของป้าที่ชื่อลุงจรัสไม่ได้

เริ่มเรื่องให้ฟิลด์เหมือนดูหนังเรื่องแกลดิเอเตอร์เล็กๆ คือมีผู้ชายคนหนึ่งเดินอยู่ในทุ่งข้าวโพด คือในแกลดิเตอร์เนี่ย เขาเริ่มเรื่องโดยตัวเอกเดินในทุ่งหญ้า หุๆๆ อารมณ์เดียวกัน

คือลุงจรัสเนี่ย ป่วยหนัก (เดาจากสภาพเหมือนเป็นถุงลมโป่งพอง สงสัยเราต้องเพลาๆบุหรี่ซะแล้ว ไปสูบบุรุษแทนเหมือนตอนแรก 555) ลุงแกพูดไม่ได้จะสื่อสารอะไรก็ต้องเขียนอย่างเดียว แต่คุณป้าก็ดูแลสามีป่วยจนวาระสุดท้ายของชีวิต น่ายกย่องมากขอบอก

พอสามีจากไปแล้วคุณป้าก็ต้องดูแลงานแทนโดยมีหลานชายชื่อหว้ากับหลานสะใภ้ชื่อชมพู่ (หรือหลานสาวกับหลานเขยผมก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้บอกเอาไว้) เป็นผู้ช่วย โดยเปิดกิจการรีสอร์ตเป็นงานหลัก ตัวรีสอร์ตสวยมาก เป็นแนวเอาโรงบ่มยาสูบ (มิน่า ลุงแกเลยเป็นถุงลมโป่งพอง อุอุ) มาทำเป็นห้องพัก แล้วปล่อยให้ไม้เลี้อยปกคลุมทั้งหลัง เคยเห็นของจริง (ที่ไม่มีต้นไม้คลุม) สวยจริงๆเลยนะ แนะนำให้ลอง

เปิดตัวมาฮามากกับชมพู่ชีแกใส่วิกเขียวชุดเหมือนน้องๆโรโบคอป โดยบอกว่าทำงานเป็นพริตตี้??? ผมอยากรู้จริงๆเลยว่าสินค้าอะไรเนี่ย
พี่หว้ากะน้องชมพู่โรโบคอป ในหนังมีชิ้นล่างด้วย เหมือนโรโบคอปกว่านี้อีก

เนื่องจากคุณลุงแกพูดไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีเขียนใส่กระดาษ พอตอนแกเสียไปแล้ว กระดาษที่คุณลุงเคยเขียนสื่อสารกับคุณป้านี่ยังเหน็บไว้ตามที่ต่างๆ คราวนี้คุณป้าก็เลยสติแตกเลย คิดว่าคุณลุงยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวแก กึ่งๆยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้ประมาณนี้ (ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ)

จุดชี้บ่งก็คือคุณป้านี่ต้องไปงานศพลูกคนรู้จักที่ถูกรถชนตาย (จำตอนนี้ไว้นะ) คุณป้าต้องไปช่วยเขาจัดดอกไม้แล้วบรรดาป้าป้าสมาคมชวนป้าจันนี่ไปเที่ยวคุนหมิง แล้วป้าแม่ม่ายไม่อยากไปโดยอ้างโน่นอ้างนี่แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่ายังติดอยู่บ้านเพราะชินกับการคอยดูแลคุณลุง และป้ายังคิดว่าเหมือนมีคนรออยู่ที่บ้าน (ซึ่งหมายถึงใครไม่ได้นอกจากลุง)

ฉากนี้มีแง่คิดอยู่หน่อยนึง คือแม่ของเด็กที่ถูกรถชนตาย (ก่อนหน้านี้สามีแกก็ทิ้งหนีไป) ภายนอกเหมือนว่าทำใจได้แล้ว แต่จริงๆแล้วเธอบอกว่าเธอยังทำใจไม่ได้ที่ลูกมาตาย คิดเสมอว่าลูกยังอยู่ประมาณนี้ เลยไม่ร้องไห้ แล้วตัดพ้อว่าทำใจได้เมื่อไร เธอจะได้ร้องไห้ได้สักที โอ้ว สำหรับผมมันแรงนะเนี่ย

ป้ากะลุง
ในหนังปูพื้นเรื่องไว้เหมือนสร้างภาพลักษณ์ของป้านี่ว่าเข้มแข็ง เมื่อลุงเสียไป แต่จริงๆแล้วป้าแกยังคิดว่าลุงยังอยู่รอบๆตัวแก อย่างที่บอกไว้ในข้างต้น ตัวชี้อีกอย่างก็คือเวลาป้าทำอะไรเปิดดูหยิบของมักเจอโน้ตที่ลุงเขียนไว้ แล้วตัวป้าเองทำเหมือนลุงยังคุยกับแกอยู่ ฮาอยู่ตอนคือป้าแกหาโน้ตเรื่องใบมีดเครื่องตัดหญ้าแล้วกระป๋องเบียร์ตกลงมา ป้าบอกว่าทำบุญส่งเบียร์ไม่ได้นะ มันจะบาป แหม ตุ๊เจ้าอาบัติหมด (ปล.ตุ๊ภาษาเหนือคือพระ ส่วนพระเค้าจะหมายถึงเณร)

สิ่งที่สะท้อนออกมาในเรื่องอีกอย่างก็คือมีลุงคนงานมาขอเบิกเงินล่วงหน้า เพราะว่าลูกชายแกไปทำสาวท้อง ป้าดดดด ดูหน้าลูกชายลุงแล้วยังอยู่ม.ต้นอยู่เลย สมัยผมอยู่ม.ต้นวันๆก็วิ่งไล่เตะบอลพลาสติก เล่นบาส เล่นกิงก่องแ้ก้ว อ้าวไม่ใช่แระ เรื่องสาวๆเรอะ เชอะอย่าได้หวังว่าจะเห็นขาอ่อนเค้า แต่อย่างว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป

พี่หว้า
อยู่มาคืนหนึ่งป้าจันฝันเห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งมากอดแล้วบอกว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือลุงจรัสตอนเด็กๆนั่นเอง รู้ได้ไงเหรอ ก็ป้าจันแกเอารูปเก่ามาดูไง แล้วแกก็เลยคุยกับหลานๆตอนกินข้าว เน้นตอนกินข้าวเรื่องบนเตียงของทั้งคู่ คุยกับแบบโจ๋งครึ่ม 55555 น่าจะเป็นแบบอย่าง เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าไม่มีแล้วเราจะเกิดมาได้เรอะจริงไหม ยิ่งปิดเด็กๆมันก็ยิ่งไปแสวงหาเอาตามประสา พอไม่มีใครสอนชี้ทางก็ผิดพลาดขึ้นมาเหมือนลูกชายลุงคนงานไง สรุปคือป้าอยากให้ทั้งสองคนเนี่ยทำเหลนให้สักที โดยหวังว่าเหลนที่จะเกิดมาก็คือลุงจรัสนั่นเองแหละ แต่เหมือนหว้าจะไม่ค่อยทำการบ้านโดยอ้างว่าทำงานมาเหนื่อย ป้าเลยจัดให้บอกว่าให้หยุดพักบ้าง หุๆๆๆ

แล้วฉาก 18+ ก็เกิดขึ้นจะๆครับ ระหว่างหว้ากับชมพู่ มีฮาตอนท้ายหน่อยที่ชมพู่บอกให้แตกในๆๆ แต่ยังไงไม่รู้ชีแกทำหน้าเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์ เดาเอาว่าไม่แตกในตามต้องการก็อารมณ์ค้าง 555 ผมว่าเพราะฉากนี้แหละหนังเรื่องนี้เลยได้เรท 18+ 5555 ปล.น้องชมพู่ร้องดังมาก แถมเป็นคำเมืองซะด้วย แหล่มจริงๆ

น้องชมพู่ (สังเกตุผมให้รูปน้องเค้าใหญ่กว่าพี่หว้า 555 ใครจะทำไม)
ต่อมาปัญหาต่างๆก็ประดังประเดเข้ามาหาป้าจัน เจ้าหนี้เก่าลุงก็มาทวงตังค์ งานในรีสอร์ทก็มีปัญหา ป้าแกเลยติสแตก โทษลุงจรัสว่าตายไปแล้วยังสร้างปัญหา แล้วป้าก็ฝันอีกครั้ง คราวนี้เด็กน้อยลุงจรัสบอกกับป้าจันใหม่ว่าเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ เอาล่ะสิทีนี้ ลุงคนงานก็ดันมาขอเบิกเงินเพิ่มโดยมีเหตุผลว่าฝ่ายหญิงขอเงินเพิ่ม แต่ไม่ได้เอาไปแต่งนะ แต่ไปเอาเด็กออก แปลไทยเป็นไทยง่ายๆว่าจะไปทำแท้ง ป้าจันเลยไม่ติสแตกแล้ว แต่องค์ลงเลย ช่วงนี้ผมคิดว่าเพราะป้าจันหวังว่าจะมีเหลนที่เป็นลุงจรัส แต่พี่หว้าไม่ยอมแตกใน 555555 เลยอด แล้วป้ามารู้ว่าจะเอาเงินไปทำแท้ง แกก็ยิ่งแสลงใจ แล้วชมพู่ดันมาก่อเรื่องเผากระดาษที่ลุงจรัสเขียนแล้วชมพู่ไม่พอใจเพราะลุงแกไปเขียนด่าชมพู่ไว้ หุๆๆ พอเผาแล้วเทศบาลก็มาเฉ่งปี๋เอาให้ ป้าแกพยายามหาสมุดบัญชีเงินฝากของลุงจรัส นัยว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ สุดท้ายหว้าก็ช่วยหาจนเจอ หลังจากป้าติสแตกอีกรอบโดยจะเอากระดาษที่ลุงเขียนทั้งหมดไปทิ้ง

คราวนี้เหมือนสติป้าจันจะเริ่มกลับมา ตัดไปที่วัด ป้าจันเอาเบียร์ 2 แพคไปถวายพระจริงๆด้วย พระท่านก็ฮาบอกว่าให้เอาเบียร์กลับไปเถอะ ส่งให้ถึงลุงจรัสแล้ว แต่พระเก็บไว้ไม่ได้ เสร็จพี่หว้าแหงมๆ ช่วงนี้มีแง่คิดอีกนิดนึง พี่หว้าเอาน้ำที่กรวดน้ำไปรดต้นไม้แล้วคุยอยู่กับเด็กแว้นในวัด ป้าจันถามชมพู่ว่าถ้าพี่หว้าตายไปชมพู่จะทำไง ชมพู่ก็ดันบอกว่าหาผัวใหม่ (นี่น้อง จะเอาฮาขนาดไหนเนี่ย) ป้าแกก็เลยสอนว่าถ้าสาวๆอยู่มีเวลาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแก่แล้วจะทำไง (ไม่เป๊ะนัก แต่ประมาณเนี้ยแหละ) แล้วป้าจันก็เอ่ยประโยคเด็ดขึ้นมา

"ไม่มีหรอกที่ว่าจะรักกันอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย มีแต่รักกันไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง"

แล้วเหมือนชมพู่จะคิดอะไรได้ พอพี่หว้ากลับมานั่งในรถชีแกก็กอดพี่หว้าเลย ดูแล้วรู้สึกดีนะ ผมว่าอบอุ่นดี แล้วอยู่ดีๆป้าแกก็เอาที่บังแดดลง (สงสัยเหมือนกันร้อยวันพันปีไม่เอาลงเลยเรอะ แล้วตอนนั้นเหมือนฝนเพิ่งหยุด จะมีแดดได้ไงเนี่ย) แล้วมีกระดาษที่ลุงแกแอบเหน็บไว้ร่วงลงมา ป้าจันอ่านแ้ล้วก็ไห้แตกเลย คือกระดาษนั้นเขียนประมาณว่า (อีกแระ ก็ผมจำไม่ได้หมดนี่นา HD ต่ำน่ะ) สุขสันต์วันเกิด ขอให้จันมีความสุขตลอดไป ป้าจันแกร้องไห้บอกว่าไม่ใช่วันนี้ (คงหมายถึงวันนั้นไม่ใช่วันเกิดแกมั้ง) 

อยู่ดีๆก็ตัดฉับมาย้อนอดีตตอนที่ลุงจรัสใกล้เสียนอนอยู่โรงพยาบาล ลูกสาวลูกชายของป้าจันกับลุงจรัสที่อยู่กรุงเทพก็มาเฝ้า หมอบอกว่ากราฟหัวใจอ่อนจะให้ถอดเครื่องช่วยหายใจไหม พอป้าจันกลับเข้ามากราฟหัวใจของลุงจรัสก็กลับเด้งฟื้นขึ้น ลูกสาวบอกว่าพอแม่เข้ามาพ่อก็ไม่ยอมไปทำนองนี้

ป้าจันแกเลยกลับบ้านไปร้องไห้กับรูปคู่บอกว่าอยู่ต่อไปก็ทรมาน ให้ละสังขารเถอะ ป้าจันแกอยู่ได้ แล้ว (วิญญาณมั้ง) ลุงจรัสตอนสภาพดีๆก็เข้ามากอดป้าจันไว้ สรุปพอป้าจันกลับมาโรงพยาบาลอีกทีลุงจรัสก็เสียชีวิตเสียแล้ว เหมือนวิญญาณลุงรับรู้คำขอของป้าจันได้ ซึ้งจริงๆฉากนี้

ช่วงบ่น
ตอนนี้ผมชอบนะ โดยเฉพาะตอนหว้ากับชมพู่ เอ้ยไม่ใช่ แต่ความเห็นส่วนตัวคือตอนที่กระดาษตกลงจากบังแดดรถเนี่ยมันควรจบตอนแล้ว เข้าใจแหละว่าป้าจันแกทำใจได้แล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตัดใจจากความทรงจำดีๆนี่นา ตอนท้ายผมสับสนนิดหน่อยเพราะมันย้อนกลับไปตอนลุงจรัสกำลังจะเสีย แล้วเหมือนป้าจันจะทำใจได้แล้ว แต่ถ้าปะติดปะต่อเรื่องตามเวลา ป้าจันทำไมต้องกลับมาจมอยู่กับอดีตอีกล่ะ งงจริงๆนะ ถ้าสองตอนนี้สลับกัน สำหรับผม ผมว่าจะสวยมาก 

ตอนนี้ว่าด้วยเรื่องการถูกผนึกไว้ในความทรงจำล้วนๆ ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ในเรื่องสื่อให้เห็นว่าลุงกับป้ารักกันมาก แต่ไม่ได้แปลว่าทั้งสองคนจะมีแต่ความสุข ข้อขัดแย้งมันก็ต้องมีบ้าง ปัญหาก็ต้องมีบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ประกอบขึ้นมาเป็นความทรงจำ 

ตัวป้าจันถูกผนึกไว้ด้วยความทรงจำอย่างที่บอก ผมว่าทำให้แกยึดติดกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ซึ่งในเรื่องก็พยายามสื่อให้เห็นถึงสิ่งนี้ตลอด แม้จนจบเรื่องแล้วผมก็ยังเห็นว่าป้าจันแกอาจจะคิดได้แต่แกก็ยังอยู่ในความทรงจำระหว่างแกกับลุงจรัสตลอดไปอยู่นั่นเอง 

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าตอนที่อยู่ด้วยกัน ควรจะทำดีต่อกันให้มาก สังเกตจากตอนที่ชมพู่กอดหว้าในรถ ผมรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ชมพู่กำลังสื่อออกมาให้หว้า เผื่อว่าหว้าจะยอมแตกใน 555555 หักมุมซะงั้น

ตอนที่3 หนูผิดไปแว้ว (แน่นอน ชื่อตอนแต่เอง)
ยา กับ เฮียเล้ง ตัวเอกของตอนนี้
ตอนนี้ผมชอบมากที่สุด อาจเป็นเพราะมันโดน

เนื้อเรื่องก็ประมาณว่ายาเป็นสาวเหนือ ส่วนเฮียเล้งเป็นคนภูเก็ต แล้วทั้งสองจะแต่งงานกันเลยตกลงว่าจะกลับมาจัดงานแต่งที่เชียงใหม่บ้านเกิดเจ้าสาว แล้วเรื่องก็เกิดขึ้น จริงๆแล้วเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่สร้างเรื่องได้แยะจริงๆ

ตอนนี้เริ่มสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสองตอนแรกไว้โดยสถานที่แต่งงานของทั้งสองก็คือรีสอร์ต (หรือโรงแรม) ของป้าจันนั่นเองแหละ โดยป้าจันเป็นเพื่อนของแม่ยา แต่พ่อกับแม่ของยาเสียไปหมดแล้ว เหลือยากับน้องที่ชื่อมอส แต่เพื่อนๆเรียกว่าเลี่ยม (นึกถึง ม.เซี่ยมว่ะ - ไม่รู้จักใช่มะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่รู้สักเรื่องอ่ะ 555) เล่นโดยน้องพีช วงออกัส เ่อ่อคือน้องครับ พี่ว่าเรื่องนี้น้องเกย์ยิ่งกว่ารักแห่งสยิวมากมายเลยอ่ะ น้องจะหน้าหวานไปไหน สาวๆในเรื่องมีอายเลยนะเนี่ย 

โดยบุคลิกของเฮียเล้งแล้ว เขาเป็นคนที่ดูจริงจัง เงียบๆ แล้วโคตรดุ เป็นนักธุรกิจเจ้าของกิจการมังคุดอะไรสักอย่าง (เค้าลืมไปแล้ว) ในมือมีไอแพดตลอดเวลา ไม่รู้ว่าดูหุ้นหรือเล่น Angry Bird อยู่กันแน่ มีคำสั่งที่เฉียบขาดสำหรับทุกคนคือ "ไปพักผ่อนซะ" 

ส่วนยาก็ประมาณสาวออฟฟิตอายุยี่สิบปลายๆทั่วๆไป ยังไม่โต แต่ก็ไม่ใช่เด็ก อาจเป็นเพราะไปเทียบกับเฮียเล้งก็ได้มั้ง รั่วๆ ฮาๆ ตามประสา

เฮียเล้ง ยา กับน้าอร ตอนที่เพิ่งมาถึงรีสอร์ตป้าจัน
เริ่มเรื่องก็มาที่รีสอร์ตป้าจันเพื่อจะจัดงานแต่งงาน โดยเหมือนมีน้าอรเป็นแม่งานคอยช่วยจัดแจงทุกอย่าง แล้วก็มีมอสเป็นพ่องานคอยดูแลเรื่องเวทีแสงสีเสียงอะไรเทือกนั้น

เฮียเล้งก็มามาดนักธุรกิจจ๋า นั่งรถมาไม่คุยกับใคร เอาแต่เล่น Angry Bird อุอุ แล้วมะ (แม่) ของเฮียเล้งก็ตามมา แต่ความซวยก็บังเกิดคือลุงคนขับรถเนี่ยแกหลงทาง เฮียเล้งถามว่าแล้วแผนที่ล่ะ ลุงแกดันตอบไปว่าลืม แค่นี้แหละเฮียเล้งก็ประกาศิตว่า "ไปพักผ่อนซะ" (ต้องไปดูเอง สายตาพี่เจมส์เรื่องนี้กินขาด)

ตามท้องเรื่อง มะของเฮียเล้งก็บ่นล้งเล้งไปเรื่อย จนทำให้ยารู้สึกเครียด (มั้ง) งานแต่งงานก็ถูกเตรียมการอย่างหรูหราด้วยการจัดการของมอสน้องชาย เปิดตัวนิดหน่อยในช่วงแรกกับพี่เป็ก กิ๊กเก่าของยาที่เหมือนทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เครื่องเสียง ในช่วงแรกทั้งยากับพี่เป็กทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน แอบเนียนนะหล่อนเนี่ย หุๆๆๆ

มอส โดยน้องพีช วงออกัส เอ่อ น้องครับ จะใสไปถึงไหนเนี่ย รู้สึกว่าหน้าผมเหมือนฝ่าเท้าเข้าไปทุกทีแล้ว
เนื่องจากมะเฮียเล้งอารมณ์บ่จอยๆ โอ้ยดูซิหัวใจชั้นสั่น (ดักแก่นิสนึง) เฮียเล้งเลยจะพาไปชอปที่กาด ส่วนยาก็ไปปาร์ตี้สละโสดที่บ้านเพื่อนสาวชื่อสุ ชีแกก็เมาเละ นอนแหมะกองกันอยู่ที่ห้องรับแขก ตื่นเช้ามา (นับถือจริงๆ ถ้าผมเมาเละขนาดนั้นตื่นเที่ยงเป็นอย่างต่ำ) ยาก็ออกมาเจอกับพี่เป็ก คราวนี้ก็ถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น ผสมกับที่ระหองระแหงกับเฮียเล้ง เลยเผลอใจดื่มด่ำกับความหลังไปหน่อย อาจด้วยบรรยากาศพาไป ยาเลยไปจูจุ๊บกับเป็กเข้าให้ คราวนี้ตามอสที่มารับยาตอนเช้าเหมือนจะมาเห็นเข้า (จริงๆเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้) เจ๊ยาเราเลยออกอาการกินปูนเข้าไปให้ พอเห็นมอสคุยกับใครก็ติ๊งต่างว่าเอาเรื่องจูจุ๊บเนี่ยไปแพร่งพราย เจ๊ยาเลยสติแตกไปเลย
เจ๊ยา กับ อ้ายเป็ก ก่อนจูจุ๊บ อุอิ

ปัญหาที่ตามรบกวนจิตใจของยาอีกข้อคือชีแกรู้จากมอสว่าลุงคนรถที่สั่งให้มารับเนี่ยโดนเฮียเล้งไล่ออกไปแล้วหลังจากคำว่า "ไปพักผ่อนซะ" ดังนั้นสำหรับยาแล้วคำว่าไปพักผ่อนซะแปลว่าสำเร็จโทษนั่นเอง ชีแกจิ้นเก่งเนอะ

หลังจากพิธีตามธรรมเนียมล้านนาแล้ว เหมือนกับว่าความอดทนของยาจะขาดผึง ประกอบกับการไปเจอถ่านไฟเก่าแล้วก็ร้อนท้องเรื่องจูจุ๊บ ทำให้ยาโพล่งออกไปว่าเมื่อเช้าไปจูจุ๊บกับผู้ชายมาแล้วขอยกเลิกงานแต่งงาน แล้วก็พร่ำตำหนิเฮียเล้งเรื่องไล่ลุงคนขับรถออก ทำให้ไม่มีใครไปรับดอกพุทธรักษาที่ชีจะเอาไว้ถือในงานแต่ง จนทำให้ดอกไม้มันเหี่ยวเฉาเป็นหน้าบล็อกเกอร์ น้าอรเป็นฮีโร่เลยโดยการลากเอาเจ๊ยาออกไปแล้วถามไถ่เรื่องราว พร้อมกับเฉลยว่าที่มอสเครียดๆเนี่ยเพราะการเตรียมงานมีปัญหา ไม่ใช่ไปปูดเรื่องจูบกับผู้ชายอย่างที่ชีแกจิ้นไปเอง

งานพิธีแต่งตามประเพณี แต่เอ ผมว่าในหนังเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งสลับที่กันนา
งานเข้าเลย เจ๊ยาดันเข้าใจผิดไปเอง ประกอบกับน้าอรชี้ช่องทางสว่างให้ โดยบอกว่าที่เฮียเล้งมาจัดงานแต่งงานถึงเชียงใหม่อย่างอลังการเนี่ยเพราะอะไร เจ๊ยาก็เลยสำนึกได้พยายามไปง้อเฮียเล้ง แต่เฮียเล้งกำลังปลุกปล้ำกับมอเตอไซค์เหมือนจะขี่ออกไปข้างนอก ฉากนี้น้ำตาของนุ่นนี่ทำงานได้เป็นอย่างดี แอบมาแอ๊บแบ้วนิดหน่อย แต่เฮียกลับพูดออกมาว่า "ไปพักผ่อนซะ" แล้วก็แว้นมอไซค์ฮ่างออกไป อย่างไร้เยื่อใย เอาล่ะสิ

ตัดฉับกลับมาที่งานเลี้ยงตอนค่ำ แขกเรื่อมาเต็ม เจ้าสาวยืนรอ แต่เจ้า่บ่าวหายหัว มีฉากฮาๆนิดหน่อยระหว่างสุกับมะ แล้วก็การล่กลนของมอส แต่สุดท้ายเจ้าบ่าวก็มาด้วยความมึนตึงเช่นเดิม (ช่วงนี้นึกถึงละครเกาหลีเรื่องซุปตาร์ไรสักอย่างที่พระเอกชอบทำหน้าปวดขี้ทั้งเรื่อง อ้อ ละครไทยเรื่องหนึ่งช่องห้าที่ไมค์เล่นอ่ะ เล่นเป็นดินไรเนี่ย ทำหน้าปวดขี้ทั้งเรื่องเหมือนกัน) แต่เฮียเล้งไม่ได้ทำหน้าปวดขี้ขนาดนั้นแค่เรียบเฉยเหมือนเอาเตารีดไปนาบไว้

พอให้เจ้าบ่าวกล่าวในงาน ช่วงนี้เป็นไคลแมกซ์ของเรื่องเลย พี่เจมส์หล่อมากกกกกก คำพูดแกสุดคม ผมจำไม่ได้หรอก เอาสรุปๆแล้วกัน คือแกบอกว่าแกเป็นคนใจร้าย แต่ไม่มีใครพูดเพราะโดนไล่ออกหมดแล้ว (หุๆๆ) ไม่ชอบให้ใครทำผิดพลาดซ้ำๆ แต่สำหรับกับเจ๊ยา เฮียแกรู้ว่าเจ๊แกทำผิดพลาดตลอด แต่ก็ทน แล้วก็พร้อมให้อภัย แล้วก็หันหน้าไปหาเจ๊ยาแก แล้วถามว่า รู้ไหมเพราะอะไรถึงให้อภัยได้ตลอดมา

โอ้ว ซึ้งมาก ให้ห้ากระโหลกเลย แค่นี้เจ๊ยาก็ต่อมน้ำตาแตกพราก พยักหน้าพูดได้คำเดียวว่ารู้แล้ว และก็เฉลยว่าที่เฮียแกแว้นมอไซค์ออกไปเนี่ย ไปหาซื้อดอกพุทธรักษาตามที่เจ๊แกอยากได้นี่เอง ช่วงนี้ผมอินมากถึงมากที่สุด เฉียบคมจริงๆ

รู้สึกว่าเป็นรูปนี้มั้งที่เนเอาไปเหน็บในงานศพ
และแล้วปมความสัมพันธ์ของเรื่องก็เฉลยตอนนี้ เนมาเป็นตากล้องให้งานนี้นี่เอง อ้าวแล้วบีมล่ะ จำได้ไหมในตอนป้าจันที่ป้าแกไปงานศพ นั่นคืองานศพของบีมนั่นเอง สรุปคือบีมถูกรถชนตาย ในเรื่องเนเปิดดูรูปถ่ายในกล้องแล้วเจอรูปบีม แล้วเนก็นึกถึงตอนงานศพ เนก็ได้ไปร่วมงานศพด้วยแล้วก็ได้เอารูปบีมที่อัดแล้วเหน็บไว้ที่รูปบีมตอนงานศพ โอ้ว เศร้า ส่วนป้าจันก็มองคู่บ่าวสาวอย่างมีนัยยะในดวงตา จบ

ช่วงบ่น
ตอนที่สามเป็นตอนที่ผมชอบมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะมันโดนกับประสบการณ์ส่วนตัว เฮียเล้งพูดถูกจริงๆว่าที่เราให้อภัยได้เสมอ ที่เรายอมได้เสมอ เป็นเพราะเรารักเขา ในทางตรงกันข้ามถ้าวันใดเราไม่ให้อภัย เราไม่ยอมแล้ว แปลว่ารักนั้นได้จืดจางลงไป

สุเพื่อนเจ๊ยาก็ให้แง่คิดอีกมุม การแต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่มันเป็นจุดเริ่มต่างหาก

ส่วนน้าอรก็ไ่ม่น้อยหน้า ใครที่เราไม่ได้อยู่ด้วย ก็ดีทั้งนั้นแหละ ขยายความก็คือทุกคนพยายามจะหันด้านดีให้กัน แต่เมื่อรู้จักกันจะคบกันแล้ว เราต้องเรียนรู้ในด้านที่ไม่ดีของอีกฝ่ายด้วย เพราะเราไม่สามารถอยู่กับด้านดีๆที่เราชอบได้ตลอดเวลา

จะเห็นว่าตอนนี้มีแง่คิดในเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์มากที่สุดในบรรดาสามตอน สมกับเป็นบทสรุปเรื่องนี้จริงๆ ตะหงิดอยู่ช่วงเดียวตอนที่เจ๊ยาวีนแตก ผมว่าชีแกเกรียนใช้ได้เลยทีเดียว แล้วกินปูนร้อนท้องอีกด้วย 5555 ความแตกเลย

วงออกัสเพลงเพราะจริงๆ สองเพลงที่ได้ฟังตอนงานแต่งงานเพราะมาก นักร้องตาอ้วนใส่แว่นที่ผมไม่รู้ชื่อ (คิดว่าเป็นคนร้องเพลงนี้นะ) เสียงดีมากๆ

แง่มุมคนดูอย่างผม
ตามชื่อเรื่องภาษาไทย ความรัก ความสุข ความทรงจำ ผมไม่รู้นะว่าเขาตั้งชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่มันสะท้อนภาพให้เห็นเพียงบางส่วนในความคิดผม

แน่นอน สำหรับตอนป้าจัน นั่นคือความทรงจำ ภาพลักษณ์มันชี้ชัดมากๆ ส่วนตอนเฮียเล้งกะเจ๊ยา ผมมองเป็นส่วนของความรัก (เพราะการแต่งงานมันเป็นแค่เริ่มต้นทาง) ส่วนสองเกย์หัวเกรียนนี่ผมบอกตรงๆว่าไม่เห็นอะไรเลยที่สื่อออกมา แล้วความสุขล่ะ มันอยู่ส่วนไหน ผมว่ามันก็แทรกๆอยู่ในทุกตอนนั่นแหละ

เรื่องนี้ให้แง่คิดหลายๆอย่าง ผสมกับที่เคยได้ิยินได้ฟังได้เรียนรู้มา

- ถ้าคุณรักใครสักคน คุณก็พร้อมที่จะให้อภัยกับเขาเสมอ ไม่ว่ามันจะร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม (จริงๆนะ)
- การแต่งงานไม่ใช่เหมือนในนิยายที่เจ้าชายเจ้าหญิงแต่งงานแล้วจบเรื่อง แต่ในชีวิตจริง ละครบทใหม่กำลังจะเริ่มตะหากเล่า
- การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ พื้นฐานคือความรัก แต่ความรักอย่างเดียวมันก็ไม่พอ ต้องมีความเข้าใจด้วย แต่ความรักความเข้าใจก็ยังไม่พอ สุดท้ายคือต้องอดทน หลายๆฉากในเรื่องสะท้อนถึงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นป้าจันที่อดทนดูแลลุงจรัส หรือเฮียเล้งที่อดทนกับความเกรียนของเจ๊ยา
- สมองคนเราไม่ใช่ HD คอมพิวเตอร์ที่จะ Format ทิ้งเมื่อไรก็หายเกลี้ยง เพราะฉะนั้นความทรงจำทุกอย่างจะอยู่กับเราไปจนวันตาย คราวนี้คุณจะปล่อยให้ความทรงจำครอบงำคุณแค่ไหนเท่านั้นแหละ
- จากในหนังแล้วก็จากชีวิตจริงเลย คนเราอาจจะไม่ต้องการเหตุผลมากมายที่จะรัก แต่เมื่อจะเลิก เหตุผลร้อยแปดจะพุ่งเข้ามาหาเลยทีเดียว แปลไทยเป็นไทยง่ายๆว่า จะรักใครเราใช้หัวใจ แต่พอจะเลิกกับใครเราดันกลับใช้สมอง คราวนี้ความรักมันไม่ใช่ตรรกศาสตร์ ไม่ใช่สูตรคำนวณตายตัว ไม่ใช่กฎหรือทฤษฎีอะไรเลย มันเป็นเรื่องของความรู้สึกชัดๆ เพราะฉะนั้น ผมชอบมากเลยกับคำพูดตรงโปสเตอร์ที่ว่า

"อย่าแค่รู้จัก รัก ...... แต่ให้รู้สึก รัก มากขึ้น"

ความรักต้องใช้ใจคือความรู้สึก ไม่ใช่แค่รู้จักคือใช้สมอง 

สรุป
แง่มุมคนดูหนังสามัญชนเช่นผม ผมชอบเรื่องนี้นะ สนุกและน่าประทับใจ (ยกเว้นตอนแรก ที่รู้สึกงั้นๆ) คุ้มค่าเงินที่ไปดูไหม "คุ้มครับ" โดยเฉพาะ 80 บาทวันพุธเหมือนผม 55555

Credit
รูปภาพจาก internet
http://www.facebook.com/homemovie.th

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ไปดูมาแล้วมาบ่น Battleship ยุทธการเรือรบพิฆาตเอเลี่ยน

ไปดูมา แล้วมาบ่น
Battleship ยุทธการเรือรบพิฆาตเอเลี่ยน

โปสเตอร์หนัง
วันจันทร์ที่ผ่านมา ร้อนตับแลบเหลือเกิน เลยแอบหนีไปดูหนังคลายร้อน (5555)  พอดีเรื่องนี้อยากดูพอดี ตอนแรกจะรอไปดูวันพุธตามประสาคนเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่เอาน่า สงกรานต์ไม่รู้จะทำอะไร ไม่ได้เปียกเลย ไปดูหนังก็ได้ หนังเข้ามาสองสามวัน คนดูก็เลยยังเยอะอยู่ (ที่เมเจอร์รัชโยธิน) ยิ่งรอบเย็นๆคงจะเยอะกว่านี้ ตอนไปดูรอบบ่ายสามสี่สิบ

น้ำท่วมทุ่งพอแล้ว เริ่มบ่นเลยดีกว่า
(ปล.มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนต์เต็มๆ หรือที่เีรียกเท่ๆว่าสปอย)

อย่างที่บอก ถ้ายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้และคิดว่าอยากไปดูเพื่อความสนุกสนานส่วนตัว ให้รีบปิดซะ อย่าอ่านต่อ

ถ้าคิดว่าดูแล้ว หรือไม่อยากไปดู หรืออยากรู้เรื่องซะอย่างจะทำไม ก็เชิญทัศนาต่อไปได้เล้ย



ธีมหนังก็เหมือนกับหนังไซไฟทั่วๆไป คือจะเริ่มจากนักวิทยาศาสตร์ไอเดียบรรเจิด สร้างไอ้โน่น คิดไอ้นี่ ตั้งเป้าหมายไว้อย่างสวยหรู แต่ผลลัพธ์กลับเป็นตรงกันข้าม

ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ติดตั้งระบบส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมติดต่อไปยังดาวเคราะห์ห่างไกลดวงหนึ่งที่ค้นพบว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ประมาณว่าอยากเซย์ฮัลโหลประมาณนั้น โดยมีสถานีภาคพื้นดินอยู่ที่ฮาวาย ส่งสัญญาณ (ที่ผมไม่รู้ว่าสัญญาณแบบไหน ภาพเสียงพร้อมหรือเปล่า เพราะว่าในหนังมันเป็นแสงสีแดงๆเฉยๆ) แล้วไปขยายสัญญาณผ่านดาวเทียมแล้วยิงไปดาวที่ว่า

แล้วก็ตัดฉับมาที่พ่อหนุ่มผมยาวที่เหมือนจะไม่เอาอ่าวเอาประเทศอะไรเลย มากินเบียร์ฉลองวันเกิดกับพี่ชาย ช่วงนี้ยอมรับเลยว่า "งงฮาฟฟฟ" เพราะผมไม่รู้หรอกว่าพระเอกชื่ออะไรหน้าตาเป็นไง ดูไปสักพักถึงรู้ว่าอ้อ ไอ้ผมยาวนี่เป็นพระเอก เรื่องของเรื่องคือหมอนี่เป็นคนไม่เอาอ่าวอย่างที่บอก พี่ชายพยายามจะหางานใ้ห้ทำ ซึ่งช่วงนี้เข้าตัวสุดๆ เนื่องจากมีหลายๆคนบอกให้ผมไปทำงานเหมือนชาวบ้านซักที 55555

นางเอกสุดสวย เอ็กซ์แตก
แล้วพ่อหนุ่มผมยาวนี่โชว์ความพยายามจะจีบหญิง ซึ่งก็คือนางเอก??? ตามภาพข้างๆ แหมขนาดนี้ก็น่าทุ่มทุนสร้างเหมือนกันแหละ 5555
ชีแกเอ็กซ์แตกมาก

ช่วงนี้เหมือนจะบอกให้คนดูรู้ว่าพระเอกผมยาวนี่เป็นพวกห่ามขนาดไหน ประมาณว่าทำไรไม่ค่อยยั้งคิดไรประมาณนี้ แต่อีกนัยยะหนึ่งที่พยายามจะสื่อก็คือ พระเอกนี่มีความตั้งใจจริงความพยายามสูง ช่วงนี้เรียกเสียงฮาในโรงได้พอสมควร


จากผลลัพท์ของความพยายามจีบหญิงของพระเอกก็คือ
1. ได้นางเอกมาเป็นแฟน โอ้เย
2. โดนพี่ชายบังคับให้มาเป็นทหารเรือ (เพราะพี่ชายเป็นทหารเรือ)

โฉมหน้าพระเอก ดูจากบั้งแล้วน่าจะเป็นเรือโท (ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ไม่แน่ใจจริงๆ)
คราวนี้จากพวกเกรียนแตกก็ต้องมากลายเป็นทหารเรือหัวเกรียน แต่ที่งงๆก็คือรู้สึกว่าจะเป็นชั้นสัญญาบัตรด้วย พระเอกนี่ไปเรียนโรงเรียนนายเรือตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ บอกตรงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อพระเอกเกรียนแตกนี่ยศอะไร แต่ใหญ่พอสมควรเลยทีเดียวเชียว เดาๆเอาว่าน่าจะเป็นเรือโท (Lieutenant Junior Grade) ไม่มีเหตุผลอะไร เดาล้วนๆ ส่วนพี่ชายน่าจะยศนาวาตรีขึ้นไปเนื่องจากเป็นผู้การเรือพิฆาต (Destroyer) ขอยอมรับว่าไม่ได้ใส่ใจยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวละครในเรื่องสักเท่าไรเลยเก็บรายละเอียดไม่ได้ กระซิกๆ
พี่ชายพระเอก เป็นผู้การเรือเร่ เอ้ย เรือพิฆาตเชียวนะ 

จุดนี้ในหนังไม่ได้บอกเอาไว้ว่าจากเด็กเกรียน กลายเป็นนายทหารสัญญาบัตรได้อย่างไร แต่หนังพยายามบอกว่าพระเอกของเราเป็นผู้มีความสามารถ เก่ง ฉลาดเฉลียว เสียอย่างเดียว "เกรียน" 5555
โปสเตอร์หนังอีกอันที่เจอมา  มีทั้งพระเอก นางเอก และรองนางเอก
ฉากเปิดการฝึกซ้อมร่วม
เรื่องดำำเนินต่อไปโดยปูพื้นเพิ่มแต่ความเกรียนให้พระเอกอย่างต่อเนื่อง ชอบจริงๆเลย เป็นพระเอกผู้ "ไม่" แสนดี

คราวนี้มีการซ้อมรบร่วมนานาชาติ มีการแข่งบอลด้วย ยังกะฟุตบอลโลก แต่รอบชิงกลายเป็นอเมริกา vs ญี่ปุ่น พระเอกเกือบหล่อแล้ว แต่เกรียนแตกช่วงท้ายเลยอดหล่อ

ช่วงนี้เปิดตัว "คู่แค้นแสนรัก" ของพระเอก ก็เข้าแนวๆหนังเท่ๆทั่วไป ตอนแรกต้องทะเลาะกัน ตอนหลังต้องกลับมาช่วยเหลือกัน

จากภาพข้างบนเป็นพิธีเปิดการร่วมซ้อมรบนานาชาิติหลังพระเอกเตะบอลแพ้ สังเกตุให้ดีมีธงชาติไทยด้วยข้างๆญี่ปุ่นอ่ะ เย้เย้ แต่ในเรื่องดันประกาศชื่อแค่มาเลเซีย และราชนาวีไทยไม่มีบทบาทโผล่มาในเรื่องสักแอะเลย แอบเซ็งเล็กน้อย

อ้าว เรื่องนี้มันเรือรบปะทะเอเลี่ยนนี่นา เอเลี่ยนไปไหนแล้วเนี่ย ในเรื่องช่วงต้นๆ แทบจะไม่พูดถึงเอเลี่ยนอะไรสักนิด อย่างที่บอกเป็นการปูพื้นความเกรียนของพระเอกเป็นส่วนใหญ่ พอยกประเด็นคร่าวๆได้ดังนี้
1. เกรียนตอนจีบนางเอกอย่างที่บอกไป
ทั่นนายพลพ่อนางเอก
2. เกรียนตอนเตะบอล
3. เกรียนตอนต่อยกับทหารเืรือญี่ปุ่นชื่อนากาตะ (แต่นากาตะก็เกรียนใส่พระเอกตอนเตะบอลเหมือนกัน สรุป เกรียนทั้งคู่ แต่พระเอกซวย)
4. เกรียนตอนไม่กล้าไปขอนางเอกแต่งงานกับพ่อนางเอก (ก็พ่อชีเป็นนายพลเรือเชียวนะเนี่ย)
5. เกรียนตอนบอกเด็กว่าเรือพิฆาต (Destroyer) เจ๋งกว่าเรือประจัญบาน (Battleship) ประมาณว่าเรือประจัญบานเป็นทุ่นลอยน้ำ เก่าเหลาเหย่ กลายเป็นพิพิธภัณท์แล้วประมาณนี้ แต่จากชื่อเรื่องผมว่าทุกคนคงเดาได้ว่าตอนท้ายจะเป็นอย่างไร

จากผลความเกรียนที่ไปต่อยกับนากาตะ ทำให้พระเอกจะต้องถูกปลดหลังจากฝึกรบเสร็จ ซวยบังเกิดเลย

ในที่สุดเอเลี่ยนก็โผล่ออกมาสักที หลังจากปล่อยให้พระเอกโชว์เกรียนอยู่นาน จนผมนึกว่าเป็นหนังรักปนเกรียนไปชั่วขณะ  เยเย้ เค้าเสียตังค์มาดูเอเลี่ยนน้าาาาา

ตอนเปิดตัวเอเลี่ยนแอบคิดในใจว่าไหงมันง่าวเงี้ย มาทั้งหมด 5 ลำ บินมาเป็นปีแสงไม่มีอะไร แต่ดั้นมาชนดาวเทียมลำนึงตอนจะถึงโลก ง่าวแท้ๆ แถมเป็นลำที่เป็นตัวสื่อสารกลับบ้านเกิดซะด้วย พลสื่อสารเดี้ยงไปซะงั้น แต่มันก็เป็นจุดหลักสำคัญของเรื่องเลยเหมือนกัน แอบงงเล็กๆว่ายานลำเบ้อเร่อ ชนดาวเทียมอันกระติ๊ด (แต่ในเรื่องใหญ่เหมือนกัน) ยานลำเบ้อเริ่มถึงกับแตกครึ่ง ประมาณสิบล้อชนมอไซค์แต่สิบล้อหักกลางอย่างนั้นเลย

อลังการงานสร้างฉากแรกก็เลยบังเกิดคือเศษชิ้นส่วนยานสื่อสารที่ชนดาวเทียมแตกไปนั่นแหละ ไปตกใส่ฮ่องกง ในฐานะที่เดินแถวฮ่องกงจนปรุ รู้สึกทึ่งเล็กๆ ตึกนั้นฉันเคยไปนี่นา หักกลางซะ แล้วฉันจะไปเดินเล่นที่ไหน แล้วไฟเต้นระบำตอนกลางคืนจะทำไงดีล่ะ ประมาณนั้น ฉากนี้ชอบๆ ชอบความฉิบหายแบบอลังการ 5555

คราวนี้ยานเิอเลี่นก็ไปหล่นปุ๊ใกล้ๆกับที่เขาซ้อมรบกันพอดี (ก็ต้องงั้นแหละ ไม่งั้นมันจะตีกันได้ไงเนอะ) ยานเอเลี่ยนอลังมากขอบอก ท่านนายพลก็เลยส่งเรือไปดูลาดเลาอยู่สามลำ อันได้แก่เรือพระเอก (แหงอยู่แล้ว) เรือของพี่พระเอก กะเรือของนากาตะ

เรือยางลำน้อย กับยานรบสุดอลังของเอเลี่ยน
แล้วพระเอกกับทีมงานนั่งเรือยางออกไปดูลาดเลาดูจากรูปข้างๆก็พอเห็นความแตกต่าง หุๆๆ ยานของเอเลี่ยนมันมีสองแบบ (จริงๆสาม ยานสื่อสารไง ตกไปแล้ว) คล้ายๆยานแม่ มีจานเหมือนที่จอดเฮลิคอปเตอร์สองข้าง กับยานรบตามรูป


เจ้คนนี้มีบทบาทมากทีเดียวในเรื่องนี้ เพิ่งรู้ว่าชื่อริฮาน่าเป็นนักร้อง เค้าเซาะกราวจริงๆเล้ย
ไอ้ที่คล้ายๆที่จอดเฮลิคอปเตอร์ของยานแม่ปล่อยม่านบาเรียออกมาได้ด้วย ช่วงนี้บอกตรงๆว่างงมาก คือตอนแรกเข้าใจว่าปล่อยออกมาคลุมเรือสามลำที่เข้าไปตรวจดู แต่ไปๆมาๆ กลับไปคลุมเรือทั้งกองทัพ ไม่เข้าใจมากว่าตกลงมัีนคลุมอะไรกันแน่ เพราะเรือสามลำเรดาห์ใช้ไม่ได้ ติดต่อฐานไม่ได้ เลยนึกว่าคลุมเรือสามลำนี้ แต่บางคนบอกว่ามันคลุมกองเรือทั้งกอง ไม่งั้นมันจะบุกเข้ามาที่ตัวเกาะฮาวายได้ไง หรือจะปล่อยบาเรียคลุมทั้งเกาะเรยเรอะ อะไรประมาณนี้ สรุป งงจริงๆจุดนี้ ไม่สามารถหาคำตอบได้ ใครรู้ช่วยบอกหน่อยจะเป็นพระคุณ เอาเป็นว่าเรือสามลำกับกองเรือถูกตัดขาดจากกันโดนสิ้นเชิง ไม่สามารถข้ามเขตบาเรียได้ ในหนังสื่อโดยเครื่องบินบินผ่านบาเรียไม่ได้ เหมือนบินชนกำแพง

แก้ไขเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนี้ในเนต เฉลยความเซาะกราวของผมเป็นอย่างดีว่าบาเรียเนี่ยคลุมอะไรบ้าง เออเนอะ ในหนังฉากนี้ก็มี แค่นี้ก็คิดไม่ได้ ง่าวแท้ๆ
บริเวณที่ม่านบาเีรียปกคลุม พี่แกเล่นคลุมเป็นเกาะๆ ท่าจะหลายร้อยตารางกิโลเมตรเลยนะเนี่ย

พี่นากาตะ ยศใหญ่น่าดู ใครรู้่บ้างยศอะไรช่วยบอกหน่อย


คราวนี้การสู้รบก็เริ่มเปิดฉาก ผลก็คือพี่พระเอกตาย เรือโดนจมโดยขวดกระทิงแดง 5555 ซับไตเติ้ลเขาเขียนงี้จริงๆ แต่ผมว่าเหมือนถังแกสมากกว่า ฉากนี้เจ๋งตรงอาวุธต่อต้านของเรือพิฆาต เทพพอสมควรที่เดียวเชียว แต่ขวดกระทิงแดงมันมากเกินจะต้านไหว ฉากเรือจมก็อลังการพอสมควร(อีกแล้ว)




แล้วผู้การเรือของพระเอกก็ตายเพราะขวดกระทิงแดงไปตกอยู่ข้างๆ คราวนี้พอผู้การเรือของพระเอกตายแล้ว ก็ต้องมีผู้นำทัพคนใหม่ หวยก็ล็อคไปที่พระเอกเนื่องจากมียศใหญ่ที่สุดในตอนนั้น โอ้ว เข้าแกปสถานการณ์สร้างวีรบุรุษจริงๆ ตอนแรกพระเอกก็ไม่อยากจะรับ เดาๆเอาว่าเสียใจอยู่ที่พี่ชายตัวเองเพิ่งตาย แต่สุดท้ายก็ต้องรับเป็นผู้การเรือ แต่ความเกรียนของพระเอกยังไม่สิ้นสุด พี่แกเล่นสั่งให้เรือเดินหน้าฆ่ามัน เอ้ยไม่ใช่พุ่งชนยานรบซะงั้น ประมาณจะแก้แค้นให้พี่ชาย เรือนากาตะเลยต้องยิงสนับสนุน เอเลี่ยนเลยแจกขวดกระทิงแดงให้นากาตะไปอีกชุด

สรุปผลการสู้รบยกที่หนึ่ง อย่างที่บอกพี่พระเอกตาย ผู้การเรือพระเอกตาย แต่เรือไม่จม?? โดนขวดกระทิงแดงไปไม่กี่ขวดมั้ง 555 เรือของนากาตะพยายามจะช่วยเรือพระเอกเลยโดนจมไปอีกลำ แต่นากาตะรอด

จุดสังเกตุ คือเอเลี่ยนจะทำการ "สแกน" ฝ่ายตรงข้ามก่อน ถ้ารู้สึกว่าเป็นอันตรายก็จะเป็นสีแดง ถ้าไม่อันตรายก็จะเป็นสีเขียว คราวนี้ถ้าสีแดงขึ้นพี่แกซัดไม่เลี้ยง เหมือนสแกนกรรมก่อนถ้ากรรมดีรอด ถ้ากรรมเลวฉันซัดไม่ยั้ง ประมาณนั้น

หนังตัดฉับจากกลางทะเลมาที่พื้นดินบ้าง เพราะเอเลี่ยนต้องทำอะไรสักอย่างหรือโฮมซิกอยากติดต่อบ้านก็ไม่รู้ เลยพยายามจะยึดฐานส่งสัญญาณ ก็อันเดียวกับที่ส่งสัญญาณไปดาวเอเลี่ยนตอนต้นเรื่องนั่นแหละ นับว่ามีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี หุๆๆๆ งวดนี้นางเอกสุดเอ็กซ์ก็เริ่มมีบทบาท (ตอนแรกนึกว่ามีไว้เดินสวยอย่างเดียวซะแล้ว)

นางเอกตอนโทรมแต่ก็ยังแจ่มอยู่ดี หารูปพี่บึ้กขาขาดไม่ได้อ่ะ
ชีแกเป็นนักกายภาพบำบัดทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของกองทัพ เลยต้องเปิดตัวตัวละครอีกคนนึงเป็นทหารผ่านศึกขาขาดผู้รู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างไปพร้อมๆกับขาที่ขาดทั้งสองข้าง กลายเป็นพวกเกรียนอีกคนหนึ่ง สังเกตุเรื่องนี้เกรียนเยอะจริงๆ แต่เราก็พบเห็นบุคคลประเภทนี้จริงในสังคมทุกวันนี้ โอ้ว สะท้อนปัญหาสังคมซะงั้น แล้วนางเอกที่แสนดีของเราก็พยายามจะช่วยพี่บึ้กขาขาด โดยการพาไปเดินเล่นปีนเขา?? แล้วดันเป็นเขาที่ตั้งจานดาวเทียมส่งสัญญาณ?? ที่เอเลี่ยนกำลังจะไปบุกยึด??

ในที่สุดเอเลี่ยนก็เปิดตัวอาวุธใหม่เป็นเหมือนโยโย่ เจ๋งมากๆขอบอก โดยเฉพาะตอนปล่อยโยโย่ คืออารมณ์เดียวกับตอนหุ่นยนต์ประกอบร่างของพวกขบวนการห้าสีต่างๆ อานุภาพการทำลายสูงส่ง แถมสแกนกรรมก่อนทำลายอีกตะหาก มีเจอเด็กๆแล้วสแกนเป็นสีเขียวก็ปล่อยไป มะ เป็นคน เอ้ยเอเลี่ยนดีจริงๆ มีคุณธรรมด้วย ตอนแรกก็สงสัยว่าปล่อยโยโย่มหาประลัยไปทำลายสนามบิน ทางด่วนฯลฯทำไม จนแกงค์นางเอกที่ประกอบด้วยนางเอก พี่บึ้กขาขาด กะนักวิทย์หัวฟูก็มาเฉลยว่าเพื่อทำลายเส้นทางคมนาคมมายังสถานีดาวเทียมนี่เอง พี่เอเลี่ยนเล่นพังไปซะครึ่งเมืองได้ นักวิทย์หัวฟูเป็นพวกที่สร้างโปรเจคฮัลโหลเอเลี่ยนนี่ขึ้นมา ก็เป็นอีกหนึ่งเกรียนเช่นกัน แต่แนวๆเกรียนปอดแหก เห็นแก่ตัวเล็กน้อยตามประสา

โยโย่พิฆาต มีไฟด้วย เหมือนที่เคยเห็นที่เซนทรัลเลยง่า
หนังจะตัดไปมาช่วงนี้ระหว่างบนบกกะในทะเล พระเอกกลับใจไม่เกรียนพุ่งชนยานรบเอเลี่ยนหันเรือกลับมาช่วยพวกนากาตะที่เรือจมแต่ลูกเรือยังรอด?? งงเหมือนกันว่าทำไมทีพี่ชายพระเอกตายยกลำ แต่พอเป็นงวดเรือนากาตะยังมีลูกเรือรอด เยอะซะด้วย แต่ก็ทำให้พระเอกรอดตายไป เพราะจากการสแกนกรรมของเอเลี่ยนพระเอกกลายเป็นสีเขียว

พระเอกปะทะเอเลี่ยนบนเรือ งุงิ
อยู่ดีๆพวกพระเอกก็จับเอเลี่ยนได้ซะงั้น เลยรู้ว่าเอเลี่ยนหน้าตาเป็นไง เอเลี่ยนเรื่องนี้ถือว่าหน้าตาคล้ายมนุษย์มากอีกเรื่องหนึ่ง (อันดับหนึ่งหน้าเหมือนมนุษย์โลกผมยกให้ Star Trek) ตอนแรกนึกว่าตาย แต่ดั้นไม่ตาย (ตามสูตร) แล้วยังมีพวกมาช่วยเหลือกลับไปด้วย แล้วยังลุยเดี่ยวเกือบพังเครื่องเรือพระเอกได้อีกตะหาก เล่นเอาพระเอกเกือบตาย แต่ตอนจัดการเอเลี่ียนตัวนั้นนี่ฮามากสำหรับผม เหมือนเอา .38 ไล่ยิงมดแดงเลยง่า

แล้วพ่อหัวทองหนึ่งในแกงค์พระเอกก็มีวิญญาณนักชีววิทยาเข้าสิง บอกว่าเอเลี่ยนนี้นะน่าจะวิวัฒนาการมาจากพวกอิกัวน่า โดยดูจากดวงตา แล้วเอาหมวกกันน็อคของเอเลี่ยนมาใส่เล่นเลยรู้ว่าหมาวกันน็อคนี่เป็นตัวกรองแสงอาทิตย์ ทำให้รู้ว่าเอเลี่ยนเป็นพวกแพ้แสง(โสม 555)

จริงๆแล้วรายละเอียดลำดับเหตุการณ์ช่วงนี้ผมจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ เนื่องจากผ่านมาสองสามวันแล้ว (ความจำปลาทองเหมือนกันแหะ ต้องโด้ปแปะก้วยซะมั่งแล้ว) เอาคร่าวๆก็พอเนอะ

พระเอกกับเจ้นักร้อง
พอพังไปครึ่งเมืองได้แล้วเอเลี่ยนก็มายึดสถานีส่งสัญญาณ ยกเครื่องมือสารพัดมาเชื่อมต่อกับสถานีส่งสัญญาณเพื่อเซย์ฮัลโหลกับทางบ้าน นางเอกก็ติดต่อกับพระเอกได้ด้วยความช่วยเหลือของนักวิทย์หัวฟู ชีแกบอกให้พระเอกมาถล่มสถานีนี้่ซะ ส่วนพี่นักวิทย์หัวฟูก็บอกว่าแค่สถานีน่ะมันเซย์ฮัลโหลไม่ถึง ต้องใช้ดาวเทียมเป็นแอมปริไฟล์เอ้อร์ หนึ่งวันจะเซย์ฮัลโหลได้ครั้งเดียวเอง แกงค์นางเอกเลยพยายามจะซื้อเวลาโดยไปพังแหล่งพลังงาน(มั้ง) ของเอเลี่ยน ให้พระเอกกลับมาถล่มสถานีได้ภายหลัง งวดนี้พี่บึ้กออกโรงอย่างเท่ คนขาขาดปะทะเอเลี่ยน 5555

ส่วนพ่อพระเอกก็ร่วมมือกับนากาตะเพื่อจัดการยานรบของเอเลี่ยน ทีนี้พ่อนากาตะมีไอเดียกระฉูดใช้ทุ่นจับคลื่นซึนามิแทนเรดาห์ เพราะพี่นากาตะบอกว่าเรดาห์เราใช้ไม่ได้ เอเลื่ยนก็เหมือนกัน โอ้ว ล้ำลึกจริงๆ ช่วงนี้ผมชื่นชมไอเดียพี่แกมาก ซิมเปิ้ลบัทเอเฟคทีฟ
Board Game Battleship อันเป็นแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้
อันที่จริงช่วงนี้แหละเข้าแกปกับแนวคิดเรื่องที่สุด ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าช่วงเครดิตตอนท้ายเขาบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากเกมส์ Battleship เกมส์นี้ผมก็เคยเล่นนะ สนุกพอใช้ได้เลย ฆ่าเวลาดี ตัวเกมส์จะให้เราวางตำแหน่งเรือต่างๆในตาราง ฝั่งตรงข้ามก็เช่นกัน พอวางเสร็จก็เริ่มเดาแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะวางเรือตำแหน่งไหนแล้วผลัดกันยิงตูมๆ ในหนังช่วงนี้นากาตะทำคล้ายๆในเกมส์เลย แต่ก็แค่คล้ายๆ เพราะว่าไม่ได้ยิงสุ่มเหมือนในเกมส์ แต่ใช้วิธีคาดเดาเอาจากคลื่นที่สั่นกระเพื่อมตามจุดตำแหน่งต่างๆ เอ ผมสงสัยว่าเค้าวางทุ่นกันเป็นตารางถี่ยิบอย่างนั้นเลยเร้อ แต่ช่างเหอะ หนังน่ะ ดูเอามันส์ใช่ม้าาา

พระเอกตอนหายเกรียนมาเป็นผู้การเรือ

แกงค์พระเอกก็เลยสอยยานรบเอเลี่ยนไปได้สองในสามลำ แต่ลำสุดท้ายไหวตัวทัน เลื้อยแบบซิกแซก พระเอกก็เลยใช้วิธีหลังพิงฝาเอ้ยฝั่ง รอพระอาทิตย์ขึ้น แล้วเปิดหมัดแลกกัน เพิ่งรู้ว่าพ่อพระเอกกับนากาตะของเราเป็นสไนเปอร์กับเขาด้วย โดยยิงกระจกกรองแสงยูวีของเอเลี่ยนให้แตก จนเอเลี่ยนตาพร่า ปล่อยให้เจ้นักร้องซัดขีปนาวุธใส่

แต่สุดท้ายแกงค์พระเอกก็ไม่รอดโดนจมเรือจนได้ พระเอกก็เลยต้องลอยตุ๊บป่องกลับฐานพร้อมพวกด้วยเรือยาง ตอนเรือแกจมนี่ผมนึกถึงเรื่องไททานิกเลย เหมือนกันเปี๊ยบ แต่พี่แกนั่งเรือยางช่วยชีวิตไม่ได้เกาะฝาประตูเหมือนโรส หุๆๆๆ

จนในที่สุดก็เข้าสู่ชื่อเรื่องสักที
- อะไรนะ ตั้งนานแล้วยังไม่เข้าเรื่องอีกเหรอ
- ไม่ใช่ คือชื่อเรื่องมัน Battleship นี่นา ทำไมมีแต่ Destroyer กับเรือบรรทุกเครื่องบินไง

อ้อ เข้าเรื่องดีกว่า คือไอ้เรือประจัญบาน Battleship ตอนเริ่มเรื่องที่เอาไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เอรู้สึกจะชื่อมิสซูรี่นะ เป็นเรือลำเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ ให้พระเอกได้ใช้ไปถล่มสถานีส่งสัญญาณ แต่แกงค์พระเอกบอกว่ามันเก่า มันอนาล็อค มันฯลฯ สรุป คือขับไม่เป็นนั่นเอง 55555
เรือมิสซูรี่ของจริง

ตอนนี้ผมชอบมากที่สุดของเรื่องเลย คือบรรดาทหารเรือเก่า(ที่แก่) ยกพลมาช่วยแกงค์พระเอกขับเรือ ไม่รู้สิผมรู้สึกว่าเท่มว้ากกกก นึกถึงคำพูดว่า "Old Soldier Never Die" เลยในบัดดล แต่ขอปรับเป็น "Old Navy Never Sink" จะเข้ากับเรื่องมากกว่า 55555

แต่แอบสงสัยอยู่นิดนึง พวกบรรดาปู่ๆทหารเรือเก่านี่ไปเอากระสุน(เก่าๆ) มาจากไหน บอกว่ามีนิดหน่อย แหมแต่ซัดกับเอเลี่ยนกระจาย

ฉากเรือมิสซูรี่ซัดกับยานแม่ขอบอกว่ามันส์มาก ชอบจริงๆตอนมีทิ้งสมอดริฟเรือด้วยง่า ผู้กำกับคนเขียนบทคิดได้ไงเนี่ย (แต่หลักความเป็นจริงแล้วผมว่าถ้าทำแบบนี้สงสัยเรือหักกลางก่อนแหงมๆ แต่เอาอะไรมาก มันเป็นหนังนินา ดูเอาสนุกเหอะอย่าจับผิดไรมาก ไม่ได้ดูสารคดีนิ)

หลังจากโชว์ความเก๋าของเรือมิสซูรี่่ซัดกับยานแม่แล้ว ผลปรากฎว่าเรือมิสซูรี่สู้ไม่ได้ (แหงล่ะ) แต่ไม่แพ้นะฮาฟ จำได้ป่ะตอนต้นเรื่องที่มีคล้ายๆกับที่จอดเฮลิคอปเตอร์ที่ปล่อยบาเรียออกมา พี่แกไปซัดโดนจนหักเลย คราวนี้กองทัพเรือทั้งกองทัพก็เลยออกมาช่วยได้ ยานแม่เลยโดน F-18 ซัดซะอ่วมระเิบิดตูม แล้วก็เลยตามมาทำลายสถานีส่งสัญญาณซะเหี้ยน

ตอนจบก็แฮปปี้เอนดิ้ง ทั่นนายพลพ่อพระเอกก็มอบเหรียญกล้าหาญให้ผู้วายชนม์ทั้งหลาย พระเอก(เคย)เกรียนแตกของเราก็พลอยได้เหรียญกะเค้าด้วย แล้วก็ได้เป็นทหารเรือต่อไม่โดนปลดแล้ว เย้ เย้ รอดตัวไป แล้วก็ไปคุยกับทั่นนายพลเรื่องแต่งงานกับนางเอก ที่เหลือก็พอเดาได้

ข้อคิดที่ได้จากหนัง
หลังจากดูหนังจบแล้วก็ต้องมาดูข้อคิดมั่ง
- นักวิทย์จากนาซ่าบอกตอนรู้ว่าเอเลี่ยนบุกว่า "เหมือนโคลัมบัส กะพวกอินเดียแดง แต่ตอนนี้เราเป็นอินเดียแดง" คงไม่เป๊ะๆเพราะจำไม่ได้หรอกแต่คงประมาณนี้ ช่วงนี้ผมสะท้อนใจเป็นอย่างแรง เข้าทำนองผู้เข้มแข็งกว่าย่ิอมต้องรุกรานผู้อ่อนแอกว่า ถ้ามองในมุมนี้เอเลี่ยนก็คงไม่ผิดที่จะบุกยึดโลกเรา อีกอย่างเอเลี่ยนคงคิดว่าอยู่ดีไม่ว่าดี มาเรียกให้กรูมาบุกซะงั้น อาาาา โลกนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก
- พี่บึ้กขาขาดผู้หมดอาลัยกับโลกพร้อมๆกับขา ผมว่าผมพอเข้าใจอารมณ์พี่แก (เพราะเคยเป็นเหมือนกัน เอ๊ะ ไม่ใช่เคยขาขาดนะ แต่เคยหมดอาลัยกับโลก แต่ไม่เกรียนขนาดพี่แก) แต่สุดท้ายพอมองเห็นว่าเรายังทำประโยชน์กับผู้อื่นได้ พี่บึ้กก็พยายามเต็มที่หายเกรียนในบัดดล ขอชื่นชมจุดนี้
- ไม่บ่นถึงไม่ได้ พ่อพระเอกเกรียนแตกของเรา เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษจริงๆ คนเก่งๆจริงๆแล้วมีมากมาย แต่โอกาสไม่เอื้อให้ พระเอกเราจริงๆตอนแรกที่ได้มาเป็นผู้การเรือก็ทำได้ไม่ดีนัก ยังคงรักษาึความเกรียนไว้ได้ดีจริงๆ แต่ด้วย "ความรับผิดชอบ" ทำให้พระเอกเราหายเกรียนและหันกลับมาเป็นผู้นำได้อย่างดี แต่มัีนก็แลกด้วยอะไรหลายๆอย่างจริงๆนะ

สรุป
ผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนัง ไม่ใช่นักดูหนังตัวยง แค่อยากบ่นๆเรื่อยเปื่อยตามประสา จึงไม่สามารถให้คะแนนกับหนังเรื่องนี้หรือเรื่องไหนๆได้ แค่อยากบอกว่าสำหรับผมหนังเรื่องนี้ "สนุก คุ้มค่าเงิน ให้ดูอีกรอบก็โอนะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับประทับตราตรึงไว้ให้ลึกสุดใจ"

ปล. 
ตอนท้ายเรื่องบอกว่าให้รอดู ถ้าคุณปวดฉี่แบบเต็มถังแล้ว หิวข้าว หรือมีธุระอะไรจะไม่ดู ผมก็บอกว่าตามสบายเถอะครับ คือมันไม่ได้มีอะไรหรอก ผมบอกให้ก็ได้ว่ามีนักเรียนสามคนที่สกอตแลนด์ไปเจออุกาบาต (มั้ง) เฉี่ยวโรงนาแหว่งไปแถบ แล้วมีตำรวจหรือช่างหรือใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ (พี่แกอุปกรณ์งัดแงะครบจริงๆ) พยายามจะเปิด (รู้ได้ไงไม่รู้ว่าอุกกาบาตนี่เปิดได้ด้วย) จนสุดท้ายก็เปิดได้ แล้วก็เห็นมือเอเลี่ยนออกมาจับขอบประตู แกงค์เด็กผู้ใหญ่ก็วิ่งป่าราบ แค่เนี้ยจริงๆ

Credit
รูปภาพจาก internet